นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือเอมเอ็มอี (SMEs) นับเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทยและเป็นกลไกสำคัญมากต่อการจ้างงานและการฟื้นฟู รวมทั้งการรักษาความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจไทยต่อไปในอนาคต ดังนั้น ธปท.จึงเร่งออกมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ผู้ว่่าฯ คนปัจจุบันย้ำว่าโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลนของ ธปท.เป็นเพียงหนึ่งในหลายมาตรการที่รัฐบาลได้ออกมาดำเนินการช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยนอกจากมาตรการนี้ ก็ยังมีการเลื่อนกำหนดชำระหนี้เป็นการทั่วไป การเร่งให้ปรับโครงสร้างหนี้ และการให้สินเชื่อเพิ่มเติม
สำหรับหลักในการออกแบบมาตรการช่วยเหลือ SMEs ตาม พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 นั้น แบงก์ชาติคำนึงถึง 4 ด้านสำคัญ ประกอบด้วย
นายวิรไทยังย้ำว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้ไม่ควรเรียกว่าเป็น พ.ร.ก.กู้เงินของรัฐบาล เพราะนี่เป็นการใช้สภาพคล่องของ ธปท.เองปล่อยให้สถาบันการเงิน ดังนั้นเมื่อครบกำหนด 2 ปี สถาบันการเงินจะนำเงินส่วนนั้นกลับมาจ่ายคืนให้กับแบงก์ชาติ จึงไม่เป็นหนี้สาธารณะและไม่สร้างภาระให้คนรุ่นต่อไป
โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 29 พ.ค.2563) สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลนไปแล้วยอดรวม 58,208 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 35,217 ราย เฉลี่ยรายละ 1.65 ล้านบาท ร้อยละ 51 ของลูกหนี้เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีวงเงินเดิมไม่เกิน 5 ล้านบาท และร้อยละ 23 เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีวงเงินเดิม 5-20 ล้านบาท เพราะฉะนั้นร้อยละ 74 ที่ได้รับอนุมัติไปทั้งหมดเป็นลูกหนี้ที่มีวงเงิน ซึ่ง ธปท.ยอมรับว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นไปล่าช้ากว่าความคาดหวังที่ตั้งไว้
สำหรับการตราพระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 หรือ การจัดตั้งกองทุน BSF นายวิรไทย้ำว่ามีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินเนื่องจากหากปล่อยให้บริษัทขนาดใหญ่ขาดสภาพคล่อง ผลกระทบจะลุกลามไปสู่ตลาดอื่นๆ ได้ ทั้งยังอาจไปซ้ำเติมสถานการณ์การว่างงานของประชาชนให้เพิ่มขึ้นไปอีก
ความสำคัญของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund : BSF) ในการอธิบายของผู้ว่าฯ ธปท.แสดงให้เห็นจากขนาดของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน จาก 1.2 ล้านล้านบาท ในปี 2553 เป็น 3.8 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 30 ของยอดสินเชื่อธนาคารพาณิชย์และเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินไทย
นอกจากนี้ ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนยังเป็นช่องทางการออมที่สำคัญของประชาชน จากมูลค่าการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน 3.8 ล้านล้านบาท มีประชาชนลงทุนอยู่ทั้งหมดถึงร้อยละ 83 ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงร้อยละ 28 และลงทุนโดยอ้อมผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันชีวิต และกองทุนรวมอื่น ๆ ทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 55
ดังนั้น แท้จริงแล้วกองทุน BSF จึงเป็นการดูแลระบบการเงินโดยรวมให้มีเสถียรภาพ โดยให้ความสำคัญกับผู้ลงทุนหรือผู้ออมมากกว่าผู้ออกตราสาร เพราะหากผู้ลงทุน/ผู้ออมขาดความมั่นใจ ก็จะส่งผลให้ปัญหาลุกลามออกไปได้เป็น 'ไฟลามทุ่ง' อีกทั้ง การปล่อยให้บริษัทขนาดใหญ่ขาดสภาพคล่องจนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ผลกระทบก็จะกลับมาตกอยู่กับพนักงานของบริษัทเหล่านี้ที่เสี่ยงต่อการตกงานอีกเช่นเดียวกัน
ธปท.ยังย้ำในช่วงท้ายว่า แบงก์ชาติไทยไม่ได้เป็นธนาคารกลางแห่งเดียวที่มีมาตรการดูแลตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด 19 มีธนาคารกลางชั้นนำหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น สวีเดน แคนาดา ที่ตลาดตราสารหนี้มีขนาดใหญ่และมีบทบาทสูงในการระดมทุนของภาคธุรกิจ ก็มีมาตรการในลักษณะเดียวกันเข้ามาดูแลเช่นกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เนื่องจากหากปล่อยให้ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนมีปัญหาสภาพคล่อง ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินในภาพรวม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง;