ไม่พบผลการค้นหา
กลุ่มแม่ทองสุก คาดเลือกตั้งหนุนต่างประเทศเชื่อมั่นดันเงินไหลเข้า คาดกรอบราคาทองคำในไทย 19,400-19,700 บาท

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold Group แม่ทองสุก เปิดเผยว่า เมื่อการเลือกตั้งในประเทศ สำเร็จจะสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างประเทศ โดยมีโอกาสทำให้เม็ดเงินไหลเข้า และเงินบาทแข็งค่า แต่จะกดดันทำให้ราคาทองคำไทยทรงตัว ดังนั้นจึงคาดว่าทิศทางราคาทองคำไทยหลังเลือกตั้งจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่สำคัญ คือ บาททองคำละ 19,400 บาท แนวต้านบาททองคำละ 19,700 บาท และน่าจะมีโอกาสปรับสูงขึ้นไปได้

“พอเงินไหลเข้ามาเยอะๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ภาวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทีนี้เงินบาทที่แข็งค่าก็อาจจะกดดันราคาทองคำบ้าง แต่ผมเชื่อว่า เงินบาทจะแข็งค่ากว่านี้ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ เพราะปัจจุบันถือว่าแข็งค่าลงมาเยอะ จนกระทั่งสภาอุตสาหกรรมฯ พยายามประสาน ธปท. (ธนาคารแห่งประเทศไทย) เพื่อให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลที่สุดกับตลาดโลก 

"พอรัฐบาลมีความมั่นคง อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพมากขึ้น ราคาทองคำก็น่าจะทรงและเป็นขาขึ้นได้ ทองคำไทยจะอยู่ที่ประมาณ 19,400 บาท เป็นแนวรับสำคัญ และ 19,700 บาท เป็นแนวต้าน น่าจะปรับตัวค่อยๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่โอกาสที่ปีนี้จะปรับไปถึง 20,000 บาท ยากเหมือนกัน เพราะราคาในตลาดโลกจะต้องขึ้นไปถึง 1,400 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ง่าย” 

กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ-ทองคำ-ร้านแม่ทองสุข
  • นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold Group

ทั้งนี้ นพ.กฤชรัตน์ มองว่า ปัจจัยหนุนราคาทองคำในระยะยาว คือค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว และคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มาก หรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยเลย      

อย่างไรก็ตาม หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเป็นไปด้วยดี จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้ แต่ไม่ต่ำกว่า 1,220 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1,250 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยยังเชื่อว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าลดลง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสิ่งที่อยากให้รัฐบาลใหม่ ดำเนินการเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อการออมนั้น นพ.กฤชรัตน์ ระบุว่า ส่วนตัวมอง ไม่ได้อยากเรียกร้อง หรือมีข้อเสนอใด เพียงแต่อยากให้รัฐบาลใหม่มีความมั่นคงของรัฐบาล การเมืองมีเสถียรภาพ เรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ และเห็นว่านโยบายด้านเศรษฐกิจที่ใช้หาเสียงของแต่ละพรรค มีจุดขายที่ต่างกัน จึงอยากให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไตร่ตรองให้ดี