ไม่พบผลการค้นหา
'จิรายุ' ชี้ 'มูดี้ส์' ด่วนใจเร็วไปนิดเหตุ เจรจาสหรัฐยังไม่จบกลับปรับอันดับความน่าเชื่อถือไทย ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตแม้จะปรับลดหนึ่งสเตปจากปัญหาภาษีสหรัฐฯ ด้าน 'มูดี้ส์' ยังเชื่อมั่นว่าไทยยังมี 'จีดีพี' เติบโตไม่น้อยกว่า 2%

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงบริษัท เอกชนที่รับจัดอันดับต่างๆ อย่าง บริษัท มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ออกมาปรับอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลงไปหนึ่งระดับ แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินบาท แบบไม่มีหลักประกันของไทย อยู่ที่ระดับ Baa1 และคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะสั้น สกุลเงินต่างประเทศของไทยอยู่ที่ระดับ P-2   

โดย มูดี้ส์ ระบุว่าการปรับลดมาจากมาตรการ เรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเก็บภาษีเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการวิเคราะห์คาดการณ์ของบริษัทเอกชนอย่างมูดีส์ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายในทุกประเทศทั่วโลก เพราะปัจจัยที่ปรับลด มูดี้ส์เองก็ระบุว่ามาจากกำแพงภาษีของสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าปัจจัยนี้จะทำให้บริษัทเอกชนที่จัดอันดับ จะปรับลดอีกหลายประเทศจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบเดียวกัน 

"ผมคิดว่าการปรับลดครั้งนี้เร็วเกินไป เพราะทั้งประเทศไทยและประเทศทั่วโลกก็อยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุย ยังไม่มีผลใดๆ ออกมาชัดเจน หากผลออกมาเป็นบวก มูดี้ส์ จะปรับอย่างไร"

ในปัจุบัน มีบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ แบบมูดี้ส์ ทั้งในระดับ โลกจำนวนมาก อาทิ Kroll Bond Rating Agency, CRISIL (Credit Rating Information Services of India Limited), Japan Credit Rating Agency (JCR) , S&P Global Ratings และ ภูมิภาคมากกว่าร้อยบริษัท และชุดข้อมูลที่ปรับลดเป็นเรื่องเดียวกันทั่วโลก ที่เกือบทุกประเทศได้รับผลระทบนี้ 

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในการรับมือแล้วในทุกมิติในเรื่องกำแพงภาษี ขณะที่นโยบายการกระตุ้นเศษฐกิจในครึ่งปีหลังนี้จะเน้นเครื่องยนต์ใหญ่สำคัญ 4 เครื่อง ที่รัฐบาลจะออกมากระตุ้น อาทิ การบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศ การค้าต่างประเทศ การใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุน ซึ่งรวมถึงการลงทุนภาคเอกชน(Private Investment) และการลงทุนภาครัฐ

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า รายงานของมูดี้ส์ ยังให้ความเชื่อมั่นด้วยการคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Baa1 ซึ่งสะท้อนถึงสถาบันการเงินและระบบธรรมาภิบาลของไทย ที่ยังมีความแข็งแกร่ง ความสามารถในการชำระหนี้ได้ดี และสถานะด้านต่างประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงการมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศในระดับสูง  

ทำให้เห็นว่าแม้ทั่วโลกจะโดนปัญหารุมเร้าจาก นโนบายภาษีสหรัฐ ฯ แต่เชื่อมั่นว่าในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อสถานการณ์คลี่คลายประเทศไทยจะมี GDP ที่ดีขึ้น แม้ว่าจากเดิมในปีที่ผ่านมา “มูดี้ส์ ”คาดการณ์ไว้ว่า ไทยจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.9 แต่เมื่อมีเหตุการณ์สหรัฐฯ ก็ปรับลดการคาดการณ์ไว้ที่ 2.0 ซึ่งประเทศไทยยังถือเป็นตัวเลขที่อยู่ในกราฟ GDP เติบโต ไม่ได้ติดลบเหมือนบางประเทศ ทำให้มั่นใจว่านโยบายต่างๆ ของรัฐบาลในครึ่งปีหลังนี้จะ ทำให้ GDP ของประเทศมีโอกาสเติบโตสูงขึ้นอย่างแน่นอน 

ส่วนกรณีที่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมากล่าวโทษที่ไทยถูกปรับลด เป็นเพราะนโยบายรัฐบาล ตนอยากเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้าน 'เบาได้เบา' วันนี้ เป็นเรื่องของโลกที่ได้รับผลกระทบซึ่งต้องช่วยกัน และข้อมูลก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องจากปัญหาภาษีสหรัฐ ถ้าลดการเมืองลงได้บ้างก็จะเป็นพระคุณยิ่ง เพราะอย่างน้อยท่านก็เคยเป็นรัฐมนตรีคลังในสมัยนายกยิ่งลักษณ์พรรคเพื่อไทยมาก่อน นายจิรายุ กล่าว