อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเลิกการเป็นคู่สัญญากับคลินิกชุมชนอบอุ่นและโรงพยาบาลเอกชน รวมจำนวน 64 แห่งเนื่องจากพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงินในรายการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคว่า สปสช.ตรวจพบความไม่ชอบมาพากลจำนวนมากและไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปได้ รัฐไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ กับคู่สัญญาที่ทำผิดกฎหมายและมีความจำเป็นต้องยกเลิกสัญญากับสถานบริการเหล่านี้
อย่างไรก็ดี ในส่วนของประชาชนที่ลงทะเบียนหน่วยบริการประจำกับคลินิกและโรงพยาบาลเอกชนทั้ง 64 แห่งนี้ สปสช.กำลังหาวิธีแก้ปัญหาให้เกิดผลกระทบกับผู้รับบริการให้น้อยที่สุดและเร็วที่สุด โดยได้ขอความร่วมมือกระทรวงสาธารณสุขจัดหน่วยบริการตามปริมณฑลมาช่วยเสริมเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชนให้มากที่สุด อย่างไรก็ดีในระยะเริ่มต้นคงมีความขลุกขลักบ้างจึงต้องขออภัยในความไม่สะดวก
"เราทราบถึงความไม่สะดวกของประชาชนเป็นอย่างดี รับทราบถึงความกดดันทุกอย่างและพยายามทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะปล่อยให้เกิดความเสียหายกับภาษีที่นำมาใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพไม่ได้ คนที่ถูกจับทุจริตได้อย่าเอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน อย่าอ้างประชาชน เพราะสิ่งที่ท่านทำได้ก่อความเสียหายอย่างมากมายต่อประเทศ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน สปสช.กำลังแก้ปัญหานี้และจะพยายามนำบริการที่ดีที่สุดกลับคืนสู่ประชาชน" อนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ อนุทินยังได้มอบนโยบายแก่ผู้บริหาร สปสช.ด้วยว่าตนไม่พร้อมจะลดหย่อนต่อคำขู่ใดๆ ว่าการยกเลิกสัญญากับคลินิกชุมชนอบอุ่นจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนจึงไม่สามารถปิดคลินิกได้
"ที่ผ่านมามีโทรศัพท์มาหาผมเยอะมากบอกว่า อย่าพึ่งไปปิดเพราะประชาชนเดือดร้อน แต่เรื่องนี้ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด เราคงไม่สามารถมีพันธะสัญญากับคู่ค้าที่ไม่สุจริตได้ สปสช.ต้องเดินหน้าดำเนินคดีและแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด ไม่มียืดหยุ่น ผิดต้องว่าไปตามผิด และต้องทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด" อนุทิน กล่าวให้นโยบายผู้บริหาร สปสช.
ด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. และโฆษก สปสช. กล่าวว่า การยกเลิกสัญญากับคลินิกชุมชนอบอุ่นและโรงพยาบาลเอกชนจำนวน 64 แห่ง จะเกิดผลกระทบกับประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพประมาณ 800,000 คน ซึ่ง สปสช.ได้ขอความร่วมมือจากศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. โรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการรองรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า หลักการในกรณีที่หน่วยบริการประจำของผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถูกยกเลิกสัญญาไป คนกลุ่มนี้ยังคงมีสิทธิอยู่เช่นเดิม เพียงแต่จะกลายเป็นสิทธิว่าง ซึ่งสิทธิว่างนี้เหมือนเป็นวีซ่าที่สามารถไปรับบริการที่หน่วยบริการที่ไหนก็ได้จนกว่าจะได้หน่วยบริการประจำแห่งใหม่
"แต่เนื่องจากปริมาณของประชาชนที่ได้รับผลกระทบมี 8 แสนคน การประชาสัมพันธ์อาจไม่ทั่วถึงหรือไม่ทันเวลา กรณีนี้ต้องกราบขออภัย แต่หลักการคือไปรับบริการที่ไหนก็ได้ และโรงพยาบาลที่ให้บริการก็สามารถเบิกเงินกับ สปสช.ได้ตามระบบปกติ" ทพ.อรรถพร กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวอีกว่า ในส่วนของการแก้ไขปัญหาระยะถัดไป สปสช.ได้เชิญชวนคลินิกเอกชนอื่นๆ ให้เข้ามาร่วมโครงการคลินิกชุมชนอบอุ่นกับ สปสช.เพิ่มเติมซึ่งขณะนี้ได้คลินิกเข้าร่วมโครงการ 20 แห่งแล้วและยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติอีกหลายแห่ง ทั้งนี้ยืนยันว่าจะดำเนินการโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด
ทั้งนี้ ในกลุ่มของคนไข้ที่นัดหมายผ่าตัดแล้วหน่วยบริการประจำถูกยกเลิกสัญญา ในส่วนนี้ได้ประสานไปยังคนไข้โดยตรงแล้ว หรือหากมีข้อสงสัยก็สามารถติดต่อสอบถามมาที่สายด่วน 1330 เช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องไปรับยาต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานเพื่อส่งต่อเวชระเบียนประวัติการรักษาจากหน่วยบริการเดิมไปยังหน่วยบริการแห่งใหม่ แต่หากมีผู้ป่วยรายใดที่ข้อมูลยังไม่ถูกส่งต่อ ก็สามารถประสานมาที่สายด่วน 1330 สปสช.ได้เช่นกัน รวมทั้งยังเปิดช่องทางอีก 2 ช่องทางคือสามารถส่ง inbox ทาง Facebook รวมทั้งฟังข้อมูลจากระบบตอบรับอัตโนมัติโดยกด 1330 แล้วตามด้วย 6 ระบบจะรวบรวมคำตอบจากคำถามที่ถูกถามเข้ามามากที่สุดมาให้ได้รับทราบก่อน
"ส่วนช่องทางการตรวจสอบสิทธิ ขณะนี้ได้เปิดช่องทาง Line สปสช.เพื่อตรวจสอบสิทธิอัตโนมัติ ถ้าตรวจสอบแล้วยังมีชื่อหน่วยบริการประจำก็คือปกติ แต่ถ้าไม่มีชื่อหน่วยบริการประจำก็สามารถไปรับบริการได้ทุกที่" ทพ.อรรถพร กล่าว