พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิง พร้อมฟังบรรยายสรุปสถานการณ์
การเข้าปฏิบัติงานและเคลียร์พื้นที่ของเจ้าหน้าที่ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก, และพลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาต้อนรับ
หลังจากนั้น เมื่อพลเอกประยุทธ์ มาถึงจุดแถลงข่าว ได้เดินจับมือทักทายกับประชาชน พร้อมกล่าวว่า มาวันนี้ชื่นใจที่มา นี่คือประเทศไทย เรารักกัน ไม่ให้ร้ายซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า ตนทราบสถานการณ์มาแต่เมื่อวานนี้แล้ว มีการรายงานมาอยู่ตลอด ตนก็ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ในช่วงแรกก็ใช้กำลังในพื้นที่มาดูแลควบคุมสถานการณ์ความปลอดภัยไว้ก่อน ยังปฏิบัติการทีเดียวไม่ได้ กระทั่งเราได้จัดกำลังต่างๆ เรียบร้อยแล้ว แล้วก็สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานต่างๆ มาทำงานที่นี่เป็นทีม มีการหารือร่วมกันทั้ง ผบ.ตร. ผบ.ทบ. รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เมื่อวานนี้ ตนมีความกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติทางด้านยุทธการณ์ คือ การใช้กำลัง เราต้องใช้กำลังจากเบาไปหาหนักด้วยมาตรการที่เหมาะสม เพราะมีประชาชนอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก ดังนั้นการใช้อาวุธอย่างไม่ระมัดระวังอย่างเช่นที่ฝ่ายผู้ต้องหาดำเนินการไม่ได้ ก็เห็นว่าจากการดำเนินการ ไม่ใช่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ไม่ง่าย เพราะจุดเกิดเหตุเป็นอาคารที่มี 6 ชั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือทำยังไงที่จะช่วยเหลือเอาคนออกมาให้ได้ก่อน และท้ายที่สุดก็ไปจบที่ชั้น LG ก็อาคารเหล่านี้ก็มีซอกมุมจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการที่จะเคลื่อนที่เข้าหา อีกฝ่ายใช้อาวุธได้เต็มที่แต่เราไม่รู้เลยว่าประชาชนหลบอยู่ตรงไหนยังไง
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณพี่น้องสื่อที่มารายงานข่าวจำนวนมาก และตนเองก็มีการติดต่อเหมือนกันกับสื่อ ทั้งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วย ผบ.ทบ. และผบ.ตร. รอง ผบ. นั่นคือการทำงานที่บูรณาการณ์และเป็นการทำงานที่ตามลำดับ และระวังประชาชนเป็นที่สุด เป็นสิ่งที่ตนกำชับไว้ตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นการใช้วิธีการใดก็ตามเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม ตนต้องเชื่อมั่นเขา เพราะเขาเป็นข้าราชการระดับสูง ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอสมควร แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาในประเทศไทย ตนขอให้เป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่จะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น อาจเป็นสุขภาพจิตในเวลานั้นของคนๆ นี้ คงไม่ใช่ไปเกลียดชังใครทั้งหมด
ย้ำ "ทำงานเป็นขั้นตอน" ไม่มีประชาชนถูกลูกหลงจากกระสุนเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ ยังกล่าวว่า ตอนนี้ก็ให้กรมสุขภาพจิตเข้ามาดูแลเอาใจใส่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไป และวิเคราะห์พฤติกรรมว่าทำไมรุนแรงขนาดนี้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหา ตนให้ความสำคัญ เพราะเรื่องนี้เป็นความเป็นความตายของมนุษย์ คนไทย เจ้าหน้าที่ ไม่ว่าใครเสียชีวิต ใครบาดเจ็บ ตนก็เสียใจทุกคน เพราะตนต้องดูแลคนทั้งประเทศ เป็นหน้าที่ของตน และอยากให้สื่อดูว่าวันนี้ที่ประชาชนมาจำนวนมาก เพราะเขามาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และการเสนอข่าวก็ขอให้ระวัง เพราะเมื่อแพร่ไปต่างประเทศด้วยความไม่เข้าใจมันก็เป็นปัญหา เมื่อวานออกทุกช่องเลย
หลายคนบอกว่าไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่อะไรที่ไม่เคยเกิดมันก็เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นความพร้อมก็คือการเตรียมการรับมือในสถานการณ์เช่นนี้ ตนได้สั่งการไปเมื่อเช้าในการประชุม และเมื่อคืนก็มีการรายงานทุกชั่วโมง ตนพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาตลอด ตนห่วงประชาชน ข้างนอก ข้างใน และที่หลบอยู่ห้อง กลัวว่าจะโดนกระสุนจากการบริหารของเจ้าหน้าที่ แต่พอตรวจสอบแล้วไม่มี ก็เป็นจากผู้ก่อเหตุทั้งสิ้น เพราะเราสะเปะสะปะไม่ได้ เราต้องแบ่งสถานการณ์ออกเป็นอย่างนี้แหละครับ บางคนบอกว่านายกฯ ไม่สนใจ ตนไม่ว่าเขา เพราะบางทีเขาต้องเข้าใจกฎหมายเหมือนกันว่าเมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบก่อน จากนั้นมาถ้าร้องขอให้ทหารมาช่วย ก็เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน เช่น มาดูแลความปลอดภัยโดยรอบ และเมื่อเราส่งมืออาชีพมาแล้วก็ต้องทำงานเป็นขั้นเป็นตอน เพราะผู้ก่อเหตุเคลื่อนที่ไปมาและมีอาวุธ
สิ่งที่น่าชื่นชมคือเจ้าหน้าที่บาดเจ็บสูญเสียจำนวนมาก ถ้าทำด้วยความรุนแรงทั้งหมด คงไม่เจ็บขนาดนี้ แต่ประชาชนจะได้รับผลกระทบหรือเปล่า ที่ผ่านมาทุกคนทราบดีถึงสถานการณ์ทางการเมือง ไม่มีใครอยากทำร้ายประชาชน
ขั้นตอนต่อไป-ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
พล.อ.ประยุทธ์ระบุด้วยว่า ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และบุคลากรทั้งหมด เมื่อคืนก็เตรียมการเรื่องเลือดให้เพียงพอ ขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันบริจาคโลหิต นั่นคือสิ่งที่เรียกว่ากุศล ทำบุญทำกับพระ ทำกุศลกับคน เขาเรียกว่าได้ทั้งบุญทั้งกุศล สิ่งสำคัญที่สุด คือ ทุกคนต้องมีบทเรียน วันนี้เราต้องหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อที่จะคลี่คลายได้โดยเร็ว วันนี้ถือว่าเราทำได้ดีที่สดุแล้ว และรัฐบาลจะดูแลทุกคนในการรักษาพยาบาลไม่ต้องเสียเงิน เงินช่วยเหลือเยียวยาก็จะเร่งรัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้ ส่วนเรื่องพิธีศพต้องผ่านการพิสูจน์หลักฐานทางนิติเวชก่อน รัฐบาลก็ดูแล มีทั้ง ส.ส. หน่วยงานราชการ และรัฐบาลดูแล จะเห็นว่าการเมืองของรัฐบาลกับฝ่ายของ ส.ส. ของเราก็ทำเต็มที่ ฝากไปถึง ส.ส. อื่นให้ช่วยกันให้กำลังใจไม่ว่าจะเป็นใครเพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน
"ขอบคุณสื่อเสนอข่าวให้ได้ข้อเท็จจริง อะไรที่มันจะทำให้เกิดความขัดแย้งบาดหมาง ขอร้องเถอะ เวลานี้เราเจอปัญหาหลายอย่าง ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง ถ้ายังแบ่งแยกคนเป็นฝักฝ่ายก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ เราต้องเผชิญสถานการณ์เอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ด้วยความร่วมมือของประชาชน รัฐบาล เอกชน ธุรกิจ ทุกหมู่เหล่า"
ยกตัวอย่างเรื่องเศรษฐกิจที่ทุกคนบ่น ตนก็รับฟังและมีมาตรการมาโดยตลอด 5 ปีทำอะไรมาบ้างและแผนต่อไปจะทำอะไรบ้าง ที่ผ่านมาอะไรที่ไม่ได้ทำก็คงจะมีโอกาสพูดกันในสภา หลายคนให้ความสนใจเรื่องนี้มากเกินไป แต่ตนไม่มีปัญหาก็ชี้แจงข้อเท็จจริงไป อย่าไปกังวล ไม่งั้นประชาชนถูกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย พร้อมถามประชาชนว่าถ้าเขาให้แบ่งเป็นพวกๆ ชอบไหม? แล้วทำอย่างผมชอบไหม? การดูแลคนทุกจังหวัดทุกพื้นที่ดีไหม? อย่าให้เขามาบิดเบือน คนทั้งประเทศเขาต้องการการช่วยเหลือเหมือนกัน แล้วการช่วยเหลือทั้งประเทศมันยากกว่าการช่วยเหลือแบบเดิม แต่มันได้ทุกคน มันได้ทั่วถึงทุกจังหวัด แต่ก่อนบางจังหวัดลงไหม ก็รู้กันอยู่ ตนไม่อยากพูดให้เกิดความขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม พลเอก ประยุทธ์ ชี้แจงจำนวนผู้เสียหาย 78 คน เสียชีวิต 27 รายรวมผู้ก่อเหตุ บาดเจ็บ 57 คน กลับบ้านไปแล้ว 25 คน รักษาตัวในโรงพยาบาล 32 คน ผ่าตัด 12 คน ใช้เลือด 64 ยูนิต ผ่าตัดไปแล้ว 8 คน ผ่าตัดสมอง 2 คน ตับแตก 1 คน ลำไส้ใหญ่ 1 คน เนื้อเยื่อแขนขา 1 คน เส้นเลือดกระดูกหัก 1 คน กำลังผ่าตัด 4 คน ตกแต่งแผลเส้นเลือด 1 ราย ฯลฯ จากนั้นจึงส่งกระดาษให้ทีมงานเอาไปเผยแพร่ให้นักข่าว
โต้สื่อตั้งคำถาม การควบคุมอาวุธยุทโธปกรณ์หละหลวมหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการตรวจสอบที่คนร้ายเป็นเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธของราชการหรือไม่ พลเอก ประยุทธ์ ตอบว่า สอบไปตั้งแต่เมื่อวาน ว่ามีสาเหตุจากความขัดแย้งทางธุรกิจส่วนตัว เรื่องการซื้อขายบ้าน เงินค่าตอบแทน ทะเลาะกันมา 3 วันแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะรุนแรงขึ้น ทุกอย่างรัฐบาลทำงานมีขั้นมีตอน ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เมื่อถามต่อว่าจำเป็นต้องทบทวนการดูแลยุทโธปกรณ์ไหม
พลเอก ประยุทธ์ ตอบว่า “อาวุธปกติเอาออกมาได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่กองสถานการณ์ กองสถานการณ์ที่มีอาวุธและมีกระสุนจำนวนนิดเดียว จำนวน 40 นัดเอาไว้รับสถานการณ์ เขาเอาปืนไปจ่อ อย่างนี้ แล้วเป็นจ่า เขาก็เตรียมสู้แล้ว แล้วมีคนได้รับบาดเจ็บด้วยไหมแถวนี้ นั่นเขาใช้อาวุธกับเจ้าหน้าทีไง เขาได้ปืนไป แล้วจากนั้นเขาเอาปืนที่ได้ไป ไปทำอะไรต่อ ไปยิงเจ้าหน้าที่คลังอาวุธ ซึ่งมีกุญแจ มีเจ้าหน้าที่เฝ้า แล้วก็ยิงอีกคนให้ตาย นั่นแหละ เขาเอาไปยังไง ไม่ใช่หละหลวมอะไรทั้งสิ้นเลย เขามีวิธีทุกอย่าง เขามีขั้นตอนทั้งหมด คลังกระสุนก็มีคนดูแล มีเวรยาม ไม่ใช่ไม่มีปล่อยวางเปล่าที่ไหนเล่า ก็เป็นเรื่องของไอ้คนๆ นี้”
เมื่อถามว่าอะไรที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจวิสามัญฯ คนร้าย พลเอก ประยุทธ์ บอกว่าต้องไปดูเรื่องสุขภาพจิต ทุกคนมีปัญหาทั้งหมด ตนเคยเป็น ผบ.ทบ. มาแล้วตนรู้ลูกน้องมีปัญหาทั้งหมด แต่มันอยู่กันที่จะต้องเข้าถึงใจให้ได้ แล้วต้องพยายามรู้ว่าเขามีปัญหาอะไร บางทีเขาบอก แต่เรื่องนี้เขาไม่บอก เพราะเขาอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เพื่อนฝูงก็ไม่รู้ แล้วปกติก็ไม่ใช่คนเลวร้ายมากนัก แต่วันนี้ทำให้คนเดือดร้อนมันไม่ใช่ไม่ถูก ไปยิงใครไม่ได้มันผิดกฎหมาย
“อย่าคิดว่าทหาร ตำรวจ เขาไปทำอะไรเจ้าหน้าที่ไม่รู้เรื่อง นายกฯจะทำอะไร ปั๊ดโธ่ เขามีขั้นตอนของเขาทั้งหมด ไม่งั้นกองทัพเขาอยู่กันมาไม่ได้หรอก เป็นร้อยปีแล้ว เราจัดระเบียบกองทัพตั้งแต่รัชกาลที่ 5 โน่นแน่ะ”
พร้อมทั้งตอบอีกว่า ก็ปะทะกันอยู่ เจ้าหน้าที่ก็ต้องยิงสวนไปเพื่อให้สงบ จะปล่อยให้เขายิงข้างเดียวหรือไง เจ้าหน้าที่เขาตายตั้งหลายคน ใครจะอยากไปตาย ไปโดนกระสุน ส่วนเรื่องการปฏิงานที่ใช้เวลานาน เนื่องจากคนอยู่ในห้างจำนวนมาก กลัวโผงผางแล้วโดยคนตาย และมีตัวประกัน
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า "พอแล้วมั้ง ยิ่งถามยิ่งน่ารักขึ้นทุกที เห้ย เราไม่ใช่ศัตรูกัน" และเมื่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามคำถามต่อเป็นภาษาอังกฤษ พลเอก ประยุทธ์ ผายมือไปทางผู้สื่อข่าวที่ถาม แล้วตอบสั้นๆ ว่า “Police Police” หลังจากนั้นก็เดินไปขึ้นรถ ก่อนจะยกมือเป็นเครื่องหมายเลิฟให้กับประชาชน แล้วขึ้นไปยืนบนบันไดข้างรถเพื่อส่งเครื่องหมายเลิฟให้ประชาชน และทำท่า 'มินิฮาร์ท' เรียกเสียงกรี๊ดจากประชาชนที่มาต้อนรับ จากนั้นจึงเข้าำปนั่งในรถเพื่อเดินทางกลับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: