หุ้นของ ‘แอมะซอน’ บริษัทค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของโลกที่มี ‘เจฟ เบซอส’ นั่งเป็นซีอีโอทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลความต้องการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ของประชาชนทั่วโลกที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อคดาวน์

ณ เวลาปิดตลาดวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา หุ้นขึ้นไปปิดราคาสูงสุดที่ 2,283.32 ดอลลาร์สหรัฐฯ/หุ้น หรือประมาณ 74,299.23 บาท หรือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 5 จากราคาปิดตลาดในวันก่อนหน้า โดยก่อนหน้านี้หุ้นของแอมะซอนเคยพุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดยตอนนั้นมีราคาอยู่ที่ 2,170.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ/หุ้น หรือประมาณ 70,600 บาท 

ด้วยการปรับตัวล่าสุด ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทตามราคาตลาด (Market Captalization) ทะลุ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 35.79 ล้านล้านบาทไปแล้ว รวมทั้งซีอีโออย่าง เบซอส เองก็มีมูลค่าทรัพย์สินเพื่มขึ้นราวร้อยละ 5 ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งตามข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บสคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 6,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 200,000 ล้านบาท 

ปัจจุบันนี้ เบซอส ถือหุ้นประมาณร้อยละ 11.2 ในบริษัทแอมะซอน และยังคงยืนตำแหน่งบุคคลที่รวบที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูล ณ วันที่ 14 เม.ย.โดย เบซอส มีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 138,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท 

• เจฟ เบซอส (ซ้าย), แมคเคนซี เบซอส (ขวา)

ขณะที่อดีตภรรยาอย่าง ‘แมคเคนซี เบซอส’ ผู้ถือหุ้นบริษัทแอมะซอนราวร้อยละ 4 ก็มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นราว 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 71,000 ล้านบาทเช่นเดียวกัน ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของเธอเพิ่มขึ้นเป็น 44,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท 

แอมะซอน บริษัทที่มีมูลค่าทางตลาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากไมโครซอฟท์ ได้รับอานิสงค์อย่างมากจากการที่ประชาชนไม่สามารถออกจากบ้านได้อย่างปกติอันเนื่องมาจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลในหลายประเทศออกมาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนทำให้บริษัทต้องจ้างพนักงานเพิ่มอีกถึง 175,000 ตำแหน่งเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างไม่สะดุด 

อย่างไรก็ตาม แอมะซอนก็ยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาการประท้วงของแรงงานในคลังสินค้าว่าสภาพการทำงานไม่เอื้อเท่าที่ควร ท้ังยังเรียกร้องให้มีการป้องกันการแพร่ระบาดในคลังสินค้าให้มากกว่านี้ ซึ่งล่าสุดแอมะซอนออกมาประกาศไล่พนักงานกลุ่มนึงที่รวมตัวกันประท้วงออกแล้วพร้อมให้เหตุผลว่าพนักงานละเมิดกฎการห้ามรวมตัวกันของบริษัท

อ้างอิง; Forbes, CNBC