ไม่พบผลการค้นหา
โฆษกกลาโหมเผยรัฐบาล ระดมกวาดล้างภัยมืดที่คอยกัดกร่อน ริด รอนสังคม เสมือน “เหลือบสังคม” ชี้หากไม่ร่วมมือกันจะอยู่กับภัยสังคมที่สะสมและซับซ้อน กระทบความเชื่อมั่นและหวาดระแวงกันในสังคม

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า รัฐบาลโดยฝ่ายความมั่นคง ได้ระดมสะสางปมปัญหาและขับเคลื่อนกวาดล้างภัยมืดที่ยังตกค้าง สร้างความหวาดระแวงกับประชาชนและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งภัยจากกลุ่มอิทธิพลที่มีอาวุธสงคราม ภัยจากอาชญกรรมข้ามชาติที่แฝงเข้ามาในรูปของนักท่องเที่ยว รวมทั้งภัยจากยาเสพติด ที่กระจายตัวอยู่ในสังคม ซึ่งบั่นทอนเยาวชนและเป็นปัญหาลูกโซ่ของอาชญกรรมรูปแบบต่างๆ

โดยภาพรวมตั้งแต่ต้น ก.พ. 2561 เจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้เปิดปฏิบัติการร่วมกันต่อเป้าหมายยาเสพติดที่สำคัญ จับกุมนักค้ายาเสพติดรายสำคัญและเครือข่าย เช่น นายจิรัฎฐ์ เพ็ญโสภณวิชญ์ ( เอกอ้วน) นาย วันเฉลิม กมลเลิศ (โน๊ต ดินแดง ) นาย ธนา ภุมรินทร์ ( โอ๋ ซีวิค) โดยสามารถยึดยาเสพติดได้จำนวนมากและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ซึ่งกำลังขยายผลเชื่อมโยงเครือข่ายและปฏิบัติการต่อเป้าหมายสำคัญอื่นๆ ต่อเนื่องกันไป 

ขณะเดียวกัน ได้ให้ความสำคัญกับบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นกับกลุ่มอิทธิพล ที่คอยกัดกร่อน ริดรอนสังคม เสมือน “เหลือบสังคม” โดยฝ่ายความมั่นคงได้ เปิดปฏิบัติการ จับกุมผู้กระทำผิดแล้วกว่า 150 รายทั่วประเทศ และกำลังทยอยดำเนินการต่อกับเป้าหมายที่ยังคงค้าง รวมทั้งเป้าหมายที่ประชาชนยังคงแจ้งเพิ่มอย่างต่อเนื่อง 

พร้อมกันนี้ ได้ตรวจสอบและดำเนินการกับคนต่างชาติ ที่อาศัยอยู่เกินกำหนด รวมทั้งผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งรวมตัวกันก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ทั้งในเมืองใหญ่ และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ตามที่ปรากฎเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณี ปฏิบัติการจับกุม นายเฉิน หยวน ไข่ ชาวไต้หวันและเครือข่ายในกัมพูชา ซึ่งมีทั้งคนไทย คนไต้หวันและคนกัมพูชา กว่า 30 รายเกี่ยวข้อง สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท

ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวแสดงความชื่นชมและเป็นกำลังใจกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง ที่ร่วมกันปฏิบัติการกับภัยสังคมที่ยังตกค้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปฏิบัติการจับกุมเครือข่ายแก็งค์คอลเซนเตอร์ชาวไต้หวันในประเทศกัมพูชาถือเป็นตัวอย่างความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ทั้งหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ

พร้อมทั้ง กำชับให้ ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง ต้องสร้างความเชื่อมั่นและเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยต้องทำตามอำนาจหน้าที่ และให้ความสำคัญในการคุ้มครองความปลอดภัย รวมทั้งดูแลโอกาสความเท่าเทียมของการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเองของประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคโดยถือเป็นสิทธิที่ทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐให้ปลอดภัย 

ขณะเดียวกันการทำหน้าที่ต้องจริงใจ เปิดกว้าง และโปร่งใส ลงพื้นที่เคาะประตูบ้าน รับฟังข้อมูลจากประชาชนให้มากขึ้น เพื่อร่วมกันสะสางปมปัญหาภัยสังคมที่สะสมและซับซ้อน