ไม่พบผลการค้นหา
หนึ่งในเรื่องน่าตื่นเต้นประจำปี 2019 ของคนอ่านมังงะน่าจะเป็นการดัดแปลงการ์ตูนเรื่อง Aku no Hana หรือ The Flowers of Evil ขึ้นสู่จอภาพยนตร์

Aku no Hana เป็นผลงานของ ชูโซ โอชิมิ ตีพิมพ์ในช่วงปี 2009 ถึง 2014 (ในไทยมีฉบับลิขสิทธิ์ชื่อ ‘รักโรคจิต’) เรื่องราวเล่าถึง คาสึกะ เด็กหนุ่มมัธยมต้นที่ขโมยชุดพละของซาเอกิ ดาวประจำห้องที่เขาแอบชอบ ทว่าเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของนากามูระ สาวแว่นแปลกเพี้ยนที่ไม่มีใครคบ จากนั้นนากามูระก็เข้าหาคาสึกะ บังคับให้เขาทำ ‘สัญญา’ กับเธอ และชีวิตของคาสึกะก็ต้องพบกับความหายนะไม่หยุดหย่อน

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาในบ้านเราพอสมควรตั้งแต่ยังไม่มีลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ ด้วยความพิลึกพิลั่นทางพฤติกรรมของตัวละคร ความคาดเดาไม่ได้สารพัดสารเพที่ประเดประดังเข้ามา แต่ที่เหนือไปกว่าคือเรื่องราวใน Aku no Hana เหมือนจะแบ่งเป็นสองครึ่งอย่างชัดเจนและมีการนำเสนอราวกับหนังคนละม้วน ครึ่งแรกมีธีมว่าด้วย ‘ความวิปริต’ ลายเส้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง หากแต่ครึ่งหลังสำรวจถึงการกลับสู่ ‘ความปกติ’ และลายเส้นก็กลายเป็นแนวมินิมอลไปเลย


02.jpg

Aku no Hana ฉบับหนังใหญ่มีกำหนดเข้าฉายที่ญี่ปุ่นวันที่ 27 กันยายนนี้ มีการฉายรอบพรีวิวไปบ้างและผู้เขียนมีโอกาสได้ดูหนังแล้ว จึงขอเล่าสู่ความรู้สึกให้ฟัง โดยจะพยายามไม่สปอยล์ใดๆ นะครับ 

ต้องออกตัวก่อนเลยว่าผู้เขียนคลั่งไคล้มังงะ Aku no Hana เอามากๆ ถึงขนาดอ่านซ้ำไปแล้ว 3 รอบ และลงทุนไปตามรอยสถานที่ต่างๆ ของการ์ตูนมาด้วย แต่จากประสบการณ์ต่อ ‘หนังดัดแปลงจากมังงะ’ ที่ดูมาทั้งชีวิต ผู้เขียนก็พยายามไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะ ‘เจ็บ’ มาเยอะ

เอาเข้าจริงแล้วการดัดแปลงมังงะเป็นภาพยนตร์เป็นโจทย์ที่ยากตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำด้วยซ้ำ เนื่องด้วยการ์ตูนญี่ปุ่นมักมีลักษณะที่ห่างไกลจากความเป็นจริง เอาง่ายๆ อย่างเรื่องสไตล์ภาพ ทั้งดวงตาเป็นกระกาย ใบหน้าหล่อคมคางแหลม แขนขาที่ลีบกว่าปกติ ซึ่งผู้สร้างไม่สามารถหานักแสดงที่ตอบสนองสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นหลักการดูหนังที่แปลงจากมังงะคงเป็นการพยายาม ‘ยึดติด’ กับต้นฉบับให้น้อยที่สุด (ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยากเหลือเกิน)

อย่างไรก็ดี Aku no Hana ไม่ได้มีสไตล์ภาพที่ตัวละครสวยหล่อเวอร์วัง ความยากอยู่ที่พฤติกรรมและความคิดของตัวละครที่แสนจะซับซ้อน ซึ่งจุดนี้หนังทำได้ในระดับปานกลาง แต่อาจไม่ดีเท่าที่หวัง เนื่องจากผู้สร้างตัดสินใจเล่าเนื้อหาของการ์ตูนทั้ง 11 เล่มลงในหนัง จนมีหนังความยาวถึง 127 นาที (ซึ่งถือว่าค่อนข้างยาว) ดังนั้นจังหวะของหนังจึงดำเนินไปค่อนข้างเร็ว ปัญหาที่ตามมาคือพัฒนาการของตัวละครเลยดูไม่ต่อเนื่องหรือไม่สมเหตุสมผล คนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนน่าจะรู้สึกว่าตัวละครพวกนี้มันเป็นอะไรกัน(วะ) ส่วนคนที่เคยอ่านแม้จะเข้าใจหมดทุกอย่าง แต่ก็รู้สึกไม่เชื่อ ไม่คล้อยตาม


03.jpg

เรื่องแคสติ้งก็เป็นปัญหาเหมือนกัน ผู้เขียนไม่ได้ต้องการนักแสดงที่หน้าเหมือนตัวการ์ตูนเป๊ะ แต่ตัวซาเอกิดูจะสวยน้อยไปสักหน่อย (พยายามเลือกคำที่ถนอมน้ำใจที่สุดแล้ว) ทั้งที่ในมังงะซาเอกิคือ Muse ประจำโรงเรียนที่เป็นตัวแปรสำคัญของเรื่อง ส่วนตัวสาวแว่นนากามูระที่รับบทโดย ทิน่า ทามาชิโระ นั้นเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ หลายฉากเธอเล่นได้ดี แต่ในหลายฉากพฤติกรรมเพี้ยนๆ ของเธอกลับถ่ายทอดออกมาในแนวติงต๊องมากกว่าดูน่าขนลุก อันนี้น่าจะเป็นความรับผิดชอบของฝั่งผู้กำกับมากกว่านักแสดง


04.jpg

แม้ว่าผู้สร้างจะพยายามให้หนังครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของมังงะ แต่เนื้อหาครึ่งหลังที่ว่าด้วยการกลับสู่ความปกติก็หยิบมาเพียงโครงคร่าวๆ เท่านั้น เพราะถ้าเล่าละเอียดตามต้นฉบับหนังน่าจะยาวสามสี่ชั่วโมง แต่นั่นก็ทำให้ฉากไคลแม็กซ์ (ที่แทบจะเล่าตามมังงะแบบช็อตต่อช็อต) ดูไม่ทรงพลังเท่าที่ควร ส่วนเนื้อหาครึ่งแรกที่ว่าด้วยความวิปริต แม้ดีเทลจะครบถ้วนตามฉบับ แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดาร์ก ดำมืด ตึงเครียด ชนิดเข้มข้นถึงใจเท่าไร

ไปๆ มาๆ ผู้เขียนเลยคิดว่าตัวผู้กำกับ โนโบรุ อิกุจิ อาจจะเป็น ‘คนดี’ เกินไปสำหรับหนังเรื่องนี้ ดูจากโปรไฟล์ของเขาก่อนหน้านี้ที่ทำแต่หนังคัลต์ๆ เพี้ยนๆ อย่าง The Machine Girl หรือ RoboGeisha ก็ไม่ได้เข้าทางกับ Aku no Hana สักเท่าไร คนทำหนังที่เหมาะกับเรื่องนี้น่าจะเป็นพวกสายมารหรือชั่วร้าย หลายปีก่อนผู้เขียนเคยคิดว่า ชิออน โซโนะ (ผู้กำกับ Noriko's Dinner Table, Love Exposure) น่าจะเป็นคนที่เหมาะสม แต่หลังๆ ฝีมือของโซโนะก็ออกไปทางลูกผีลูกคนจนไม่น่าไว้ใจ ถ้าให้โซโนะในปัจจุบันกำกับ เผลอๆ หนังจะออกมาแย่กว่านี้อีก

ทั้งนี้ผู้เขียนอาจจะเขียนในแง่ลบเสียเยอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรือเหลือทนอะไรกับ Aku no Hana ฉบับภาพยนตร์ โดยรวมคงสรุปความได้ทำนองว่า “ผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจนะว่ามันยาก” และต้องย้ำว่าเขียนบทความนี้ไม่ใช่เพื่อไม่ให้คนไปดูหนัง แต่ตรงข้ามกันคืออยากให้ไปดูเพื่อพิสูจน์ว่าตกลงมันดีหรือไม่อย่างไร (หากผู้เขียนได้ดูรอบสองอาจจะชอบหนังมากขึ้น) และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีค่ายหนังในไทยซื้อหนังมาฉาย เพราะการได้ดูหนังแปลงจากมังงะที่เรารักบนจอใหญ่ก็เป็นความงดงามอย่างหนึ่ง แม้หลายครั้งจะเจือด้วยความเจ็บปวดก็ตาม


05.jpg