ไม่พบผลการค้นหา
รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 แถลงข่าวชี้แจงกรณีมีการเผยแพร่ แชทข้อความคุกคามทางเพศหญิง ในสถานกักตัว จ.นราธิวาส ชี้เป็นการแอบอ้างทหาร ด้าน อาจารย์ มอ.ร้องให้มีการสืบสวนและป้องกันการคุกคาม

จากกรณีเมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) มีการเผยแพร่แชทข้อความของในลักษณะคุกคามทางเพศหญิงที่เดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย และถูกกักกันในสถานกักตัว พื้นที่อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส โดยชายคนดังกล่าวได้ทักทายพร้อมชักชวนหญิงคนดังกล่าว "ร่วมมีเพศสัมพันธ์" ขณะที่ผู้ถูกคุกคามได้ส่งข้อความตอบกลับตำหนิว่าควรให้เกียรติผู้หญิง ไม่ควรใช้ถ้อยคำคุกคามและดูถูกแบบนี้

โดยภายหลังข้อความดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์พร้อมเรียกร้องให้มีการสืบสวนและป้องกันการคุกคามที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลรายอื่น ขณะเดียวกันในโลกโซเชียลมีเดียได้มีการรณรงณ์เรียกร้องให้หยุดการคุกคามทางเพศ

ดร.อลิสา หะสาเมาะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยลัยสงขลานครินทร์ ได้โพสต์ข้อความเรียกร้องให้ หยุดการคุกคามทางเพศของเจ้าหน้าที่รัฐ และปกป้องผู้หญิงในสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องถูกกักตัว ณ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เพราะการคุกคามทางเพศเกี่ยวข้องกับอำนาจ เพราะผู้คุกคามเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเป็นผู้ชาย ลักษณะการคุกคามทางเพศที่ถือว่าเป็นการคุกคาม เพราะทำให้ผู้หญิงรู้สึกหมดทางสู้ ไม่ต้องการ ไม่ปรารถนา ในรูปแบบต่างๆ ผ่านคำพูด ท่าทาง การจับต้องร่างกาย ในกรณีนี้คือการคุกคามทางเพศผ่านช่องทางการสื่อสาร ทำให้เกิดความอึดอัด โดยการขอมีเพศสัมพันธ์

ดร.อลิซา เห็นว่า สังคมไทยมีเหตุการณ์คุกคามทางเพศบ่อยครั้ง และถือเป็นความไม่ปกติ ที่สังคมไทยทำให้ปกติ ไม่ใช่สามัญสำนึกที่จะเกิดขึ้น แต่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นว่าไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ เพราะไม่เช่นนั้นผู้คุกคามทางเพศจะลอยนวล ส่วนกระบวนการไต่สวนตรวจสอบ ยังไม่ได้ออกแบบมาดีพอที่จะปกป้องเหยื่อจากกระบวนการสอบสวนและป้องกันการถูกคุกคามซ้ำ และการคุกคามทางเพศไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

"ปัญหาคือ ณ ทุกวันนี้ กฎหมายที่จะปกป้องเหยื่อจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ยังเป็นเพียงแค่เสือกระดาษ ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะเกิดกระบวนการเอาคนที่คุกคามมาลงโทษไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้แค่ไหน แต่ต้องให้กำลังใจกับเหยื่อที่ถูกคุกคามว่า อย่างน้อยการเปิดเผยพฤติกรรมอันป่าเถื่อนไร้ยางอายเยี่ยงนี้ เท่ากับคุณกล้าหาญมากที่จะลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิตัวเองแล้ว" 

กอ.รมน.ภาค 4 สน.แจงเป็นการแอบอ้าง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.วัชรกร อ้นเงิน รอง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่าภายหลังทราบเหตุ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการให้หน่วยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสรุปได้ดังนี้

1.จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าผู้ที่ถูกคุกคาม เป็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากการทำงานที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่นอกพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเข้ารับการกักกันตัวภายในศูนย์กักกันตัวของทาง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ในเฟสที่ 2 รอบที่ 3 ซึ่งมีจำนวนผู้ถูกกักกันตัว จำนวน 180 คน ก่อนที่จะถูกส่งตัวกลับภูมิลำเนา ตามมาตรการควบคุมของกระทรวงสาธารณะสุข

2.สำหรับการสนทนาข้อความเชิงชู้สาวดังกล่าวพบว่า เป็นการสนทนาผ่านแอปพลิเคชัน “badoo” โดยใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า “Staf” และใช้รูปของ อส.ทพ. ปฐมพงศ์ พรหมศรี สังกัดกรมทหารพรานที่ 48 เป็นรูปโปรไฟล์ หน่วยจึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

จากผลการสอบสวนเจ้าตัวได้ให้ปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักและใช้โปรแกรมดังกล่าว จึงได้ทำการตรวจสอบประวัติการใช้โทรศัพท์ผ่านทาง Apple Id พบว่าเจ้าตัวไม่เคยเข้าใช้แอปพลิเคชันดังกล่าว ซึ่งถ้ามีการใช้จริงในระบบจะยังคงบันทึกประวัติข้อมูลการใช้อยู่ ปัจจุบันเจ้าตัวได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาสเพื่อเป็นหลักฐานไว้แล้ว

3. “badoo” เป็นแอปพลิเคชันในลักษณะหาคู่ ซึ่งสามารถใช้รูปใครก็ได้มาเป็นรูปโปรไฟล์ เพื่อพูดคุยโดยไม่เห็นหน้าไม่เหมือนลักษณะการแชทผ่าน video call ซึ่งจะเห็นคู่สนทนาว่าเป็นใคร จึงมักจะมีการแอบอ้างในลักษณะเช่นนี้อยู่บ่อยๆ

4.ซึ่งทาง กอ.รมน.ภาค 4 สน. รู้สึกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ถูกคุกคามเป็นอย่างดี ทั้งนี้ภายหลังหากมีการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกแล้วพบว่า ผู้ที่ใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวเป็นกำลังพลของ กอ.รมน.ภาค 4.สน. ก็จะมีการลงโทษทั้งทางวินัย และอาญาทหารขั้นเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา 

โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้มีนโยบายกวดขันวินัยกำลังพลมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ยุทธศาสตร์คนดีคัดเลือก ผู้ที่มาปฏิบัติงาน และกฎเหล็ก 9 ข้อ โดยเฉพาะเรื่องชู้สาว รวมไปถึงการปฏิบัติตนตามแบบธรรมเนียม และวินัยทหาร อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน

จึงขอให้สังคมได้มีความมั่นใจว่ากองทัพจะไม่ปกป้องผู้ที่กระทำความผิดในทุกกรณี และหากพบเห็นเจ้าหน้าที่ทหารกระทำความผิดหรือสร้างความเดือดร้อน ขอให้แจ้งหน่วยต้นสังกัดทราบ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน และพิจารณาลงโทษตามความเหมาะสมต่อไป