ธุรกิจเพศพาณิชย์กำลังกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ หลังเหตุการณ์ ‘ลัลลาเบล’ เด็กเอนเตอร์เทนเสียชีวิต
'วอยซ์ ออนไลน์' นัดพูดคุยกับ มิ้ว ณ ชมวิว หญิงสาวร่างบาง ท่าทางคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ที่มีประสบการณ์ในอาชีพค้าขายบริการมานานร่วมสองทศวรรษ
“ชื่อเรียกบริการแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ทุกอย่างมันอยู่ที่ดีล อยู่ที่เงิน” สาววัย 45 ปีกล่าวถึงธุรกิจเพศพาณิชย์
มิ้ว เริ่มต้นจากการเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดผับแอนด์เรสตัวรองท์ที่เคยโด่งดังเมื่อร่วม 20 ปีก่อน จากนั้นจึงรับงานร่วมกับทีมบริหาร รับผิดชอบด้านการตลาดของธุรกิจสถานบริการ อาบ อบ นวด และ ค็อกเทลเลาจน์ มีหน้าที่วางแผนกลยุทธ์ บริหารดีมานด์และซัปพลายให้สอดคล้อง ด้วยการเป็นตัวกลางระหว่างหญิงสาวที่ต้องการรายได้และชายหนุ่มที่กำแบงก์พันหรือบัตรเครดิตมาปลดปล่อยความใคร่ นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของหนังสือเปิดม่านพรหมจรรย์ ที่บอกเล่าเรื่องราวในวงการเพศพาณิชย์ได้อย่างถึงพริกถึงขิง
ต่อไปนี้คือสิ่งที่เธอถ่ายทอดให้เราฟัง...
ธุรกิจการขายบริการทางเพศ ถูกเรียกและแทนด้วยชื่อที่หลากหลายปรับไปตามความนิยมของสังคม แต่แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ ‘ในระบบ’ ซึ่งหมายถึง มีหน้าร้าน มีสถานที่ มีกฎกติกาดูแลผู้ค้าและลูกค้าอย่างชัดเจน อยู่ในสายตาสังคม และสามารถประเมินได้ว่ามีจำนวนผู้ประกอบอาชีพนี้หมุนเวียนกี่ราย
“คนไทยรู้กันดีอยู่แล้วว่าประเทศเรามีธุรกิจแบบนี้อยู่ อาบอบนวด ซ่อง คาราโอเกะ นวดกระปู๋ พวกนี้บางแห่งออฟเด็กได้ มีห้องให้เสร็จสรรพ” มิ้วกล่าว
การค้าบริการในระบบนั้นเป็นธุรกิจ มีองค์ประกอบและรายละเอียด ต้องจัดการดูแลผู้คนจำนวนมาก โดยอาบอบนวดขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ มีเด็กหมุนเวียนมากถึง 600 คนในแต่ละเดือน รูปแบบการทำงานจึงต้องเป็นมืออาชีพ มีมาตรฐานที่ชัดเจน ทั้งค่าตัว ส่วนแบ่งรายได้ ราคาขาย ความสะอาด และความปลอดภัย
“ร้านมีห้อง มีแม่บ้านทำความสะอาด มีลูกค้าสม่ำเสมอ มีรปภ.ดูแลความปลอดภัย มีกฎเหล็กเด็กสามารถปฏิเสธให้บริการลูกค้าที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย มีการตรวจโรคเป็นประจำทุกเดือน ขณะที่ลูกค้าก็มั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ดี ไม่โดนเด็กตบทรัพย์ แบล็คเมล์ เรียกว่ามีความปลอดภัยระดับหนึ่งสำหรับการบริการในระบบ”
ขณะที่รูปแบบ ‘นอกระบบ’ หรือขายตรง เมื่อ 30-40 ปีก่อนเรียกกันว่า ‘นางทางโทรศัพท์’ หญิงสาวจะอยู่ประจำบ้านต่างๆ หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า โมเดลลิ่งและเอเย่นต์ เมื่อลูกค้าโทรมาบอกความต้องการ แม่เล้าจะจัดหาเด็กตามสเปกส่งไปตามที่อยู่ ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยี จึงเปลี่ยนเป็นนางทางไลน์ ทางเฟซบุ๊ก หรือทางโซเชียลมีเดีย
“เด็กอยู่กันตามอิสระ ขายตัวเองได้โดยตรง ใครชอบก็ดีลอินบ็อกซ์ตกลงราคากัน พวกนี้เราถือว่าอยู่นอกระบบเพราะไม่รู้เลยว่าเป็นใคร มีกี่คน อายุเท่าไหร่ ทำอาชีพอะไร” เธอบอกว่ากลุ่มอิสระหลายคนจับกลุ่มรวมกันในห้องแชทที่มีเอเย่นต์หรือโมเดลลิ่งทำหน้าที่คอยหาลูกค้ามาป้อนงานและหักหัวคิว
สิ่งที่ต้องระวังสำหรับงานนอกระบบคือ เมื่อกำหนดกติกาและข้อตกลงกันเองตามความพอใจของแต่ละฝ่าย จึงเสี่ยงที่จะเจอการเล่นนอกกฎกติกา
สาวมากประสบการณ์บอกว่า ปัจจุบันชาวไทยไม่ค่อยนิยมใช้บริการอาบอบนวดมากเท่าในอดีต เช่นกันกับเด็กสาวที่มักออกมาขายตรงเป็นส่วนใหญ่ อาบอบนวดจึงขับเคลื่อนและเติบโตด้วยทัวร์จากต่างชาติ
เมื่อโฟกัสไปที่ผู้ค้าบริการในระบบ พวกเธอต้องผ่านการเทรนด์ความเป็นมืออาชีพมากพอสมควร
โดยจุดเด่นที่อาบอบนวดให้ความสำคัญอย่างมาก คือ การออรัลเซ็กส์ ที่มิ้วบอกว่า “ไม่ใช่แค่ทำได้ แต่ต้องทำเป็น ไอ้ของแบบนี้อย่าบอกว่าใครก็ทำเป็นนะคะ” เด็กต้องรู้จังหวะ รู้จักการถ่ายทอดอารมณ์ การบริหารเวลาต่อรอบเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อตัวเองและสร้างประทับใจให้กับลูกค้า
“คนเราไปนอนกับคนแปลกหน้าก็สาหัสแล้วนะ ถ้าเป็นคนแปลกหน้าที่ตัวเองไม่ได้ชื่นชอบเลย ไม่ถูกจริตเลย มันจะให้มีอารมณ์ร่วมได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่เราจะไปทำท่ารังเกียจลูกค้าได้ไหมล่ะ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีครูฝึก มีรูปแบบการสอน การแสดงกิริยามารยาท ต้องส่งเสียงครางประมาณนี้นะ การเคลื่อนไหว ต้องร่อนตัว ยกตัว เวลาอาบน้ำให้ลูกค้าต้องถูตรงส่วนไหน กระตุ้นตรงไหน
“ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที หรือไม่เกิน 2 ชั่วโมง ถ้าไม่อยากเปลืองตัวมาก ไม่อยากโดนเอา 2 รอบ คุณก็ต้องให้เสร็จตอนใกล้ๆ หมดเวลา เพราะถ้าลูกค้าเสร็จเร็วคุณโดนเบิ้ล ซึ่งคุณไม่ได้เงินเพิ่ม เพราะเขารับกันเป็นรอบ มันจึงมีเทคนิคการกระตุ้น เร่ง เร่ง เร่ง ยังไงให้มันพีค เสร็จพอดีเวลา ถ้าครึ่งชั่วโมงแรกลูกค้าเสร็จไปแล้ว 1 รอบ รออีก 10 นาทีเกิดฮึดขึ้นมาอีก หนักเลย”
เทคนิคต่างๆ ไม่ได้มีระบุหลักการไว้เป็นตัวหนังสือ แต่ถูกส่งต่อกันโดยอดีตเด็กที่มีความสามารถและถูกแขกยกนิ้วให้ว่า “งานดี”
“สมัยก่อนมีหุ่นด้วยนะ หมายถึงผู้ชายแท้ๆ มานอนเป็นหุ่น เพื่อให้เด็กได้ฝึกฝน ไม่มีเงินเดือน ส่วนใหญ่เป็นเชียร์แขก เพราะจะได้รู้สรีระและลีลาของเด็ก ซึ่งมีคนอาสาเยอะมาก ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว เพราะเด็กๆ เห็นว่าเปลืองตัว”
มิ้วบอกว่า การฝึกฝนในปัจจุบันหย่อนยานลงไปมาก เนื่องจากเด็กสมัยนี้มักไม่ยินยอม รู้สึกเสียเวลา มั่นใจว่าสามารถมัดใจอีกฝ่ายได้ด้วยความสวยทั้งจากธรรมชาติและศัลยกรรม รวมถึงลีลาบนเตียงของตัวเอง
เด็กที่เข้ามารับงานในระบบ โดยเฉพาะอาบอบนวด จะถูกสำรวจร่างกายเพื่อกำหนดรหัสและราคา
“แก้ผ้าดูจุดบกพร่อง ผู้จัดการ เชียร์แขกมาดูด้วย เพื่อให้รู้ว่าจะนำเสนอจุดเด่นหรือขายให้กับลูกค้าอย่างไร โดยปกติดูกันไม่เกิน 3 คนหรอก บางร้านอาจคนเดียว และมีมารยาทในการดู แต่พวกผู้จัดการวิตถารดูไปถึงอวัยวะเพศเลยก็มี”
การกำหนดรหัสและราคาขึ้นอยู่กับการวางระดับของสถานบริการ รวมถึงการออกแบบโปรโมชั่น ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของผู้บริหาร
“บางร้านเริ่มต้นที่พันปลายๆ บางร้านสองพันไปจนถึงหลักหมื่น บางร้านซอยราคาถี่มาก ตามแต่ละจุดเด่นของเด็ก เป็นการเล่นกับราคาและโปรโมชั่น เขาแบ่งขายได้ และรู้ด้วยว่าลูกค้าต้องการแบบไหน”
เอเย่นต์หรือโมเดลลิ่งนั้นเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อความต้องการของคนซื้อและคนขาย จะยึดโยงผูกพันกับเด็กได้ต้องรู้ใจ สกรีนและเลือกงานที่เหมาะสม รวมถึงปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ
“ต้องซื้อใจเด็ก ทำให้เด็กไว้ใจ ราคามันตัดกันมากไม่ค่อยได้หรอก ทุกคนมีมาตรฐานของตัวเองอยู่แล้ว ตามรูปร่างหน้าตา ช่วงเวลาในการทำงาน โมจะรักษาใจเด็กด้วยการส่งงานให้สม่ำเสมอ เกรดลูกค้าต้องถูกใจเด็ก รู้จักคัดขนมให้ไปผสมน้ำยาให้ได้ เด็กบางคนเขาไม่ได้ซีเรียสว่าจะเป็นรูปร่างลักษณะยังไง แต่บางคนซีเรียส หนูไม่เอาแบบนี้ๆ นะ” เธอเล่า
“บางคนไปถึงหน้างาน เจอคนที่เราไม่ชอบแต่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะลูกค้าจ่ายเงินมาแล้ว ไม่อยากเสียงชื่อเสียงในแวดวงตัวเอง กลัวลูกค้าเอาไปพูดต่อปากต่อปาก ก็หลับหูหลับตาทำไป เด็กเขาก็กลับมาเม้งแตกกับโม เพราะงั้นโมต้องมืออาชีพ เกลี้ยกล่อม ประนีประนอม มีวิธีสื่อสารซื้อใจกัน”
มิ้วบอกโมเดลลิ่งจะแจ้งเด็กชัดเจนว่า หักค่าหัวคิวในราคาเท่าใด เช่น 500 บาท 1,000 บาท 1,500 บาท ขึ้นอยู่กับรูปร่างหน้าตา ชั่วโมง และรูปแบบการทำงาน
ความยากจนอาจไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเธอกระโดดเข้าสู่การค้าบริการทางเพศเหมือนเช่นในอดีต
“สมัยก่อนยุคตกเขียวแบ่งบาน 30-40 ปีก่อนจนจริง มีแน่ถูกซื้อมาจากพ่อแม่ เพราะไม่มีทางเลือก เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ แทบทุกคนมีการศึกษา อ่านออกเขียนได้ โลกโซเชียลความรู้อยู่ในมือ แต่มาขายเพราะต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต”
ตลอดเส้นทางในวงการของเธอพบว่า เด็กส่วนใหญ่ต้องการความสะดวกสบาย ขณะที่สภาพสังคมยังส่งเสริมให้ผู้คนใฝ่ฝันถึงชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ค่านิยมฟุ้งเฟ้อ โดยเดินเข้าสู่วงการตามการชักชวนของเพื่อนหรือขายตรงผ่านโลกออนไลน์
“คนเราก็อยากมีชีวิตที่สวยงามด้วยกันทั้งนั้น อยากได้ของดีๆ ใช้ของดีๆ เพียงแต่วิธีในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้นแตกต่างกัน” เธอบอก “ชีวิตใครชีวิตมันแต่ให้รู้ไว้ว่า ความเสี่ยงมันต่างกัน คนที่เขาอดทนกับความยากลำบาก เขาจะไม่เจอจุดเสี่ยงแบบคุณ อยากได้อะไรเร็วๆ ก็ตามมาด้วยความเสี่ยงสูง”
ปฏิเสธไม่ลงว่าการขายบริการทางเพศนั้นมีรายได้ที่งดงาม หากเปรียบเทียบกับอาชีพอื่น
สาวใหญ่มากประสบการณ์ ยกตัวอย่างว่า หากคุณยังสาว อายุไม่เกิน 25 ปี รับงานในอาบอบนวดวันละ 3 รอบ ประเมินคร่าวๆ จะมีรายได้หลังหักให้อ่างถึงตัวคุณรอบละ 1,500 บาท เท่ากับ 4,500 บาทต่อวัน หากทำงานที่ 20 วัน ตัดวันที่มีประจำเดือนออก คุณจะมีรายได้ถึง 90,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ในกลุ่มไซด์ไลน์อาจมากกว่า 100,000 บาท
ถ้าคุณเริ่มต้นจากการเป็นผู้มีรายได้ 90,000–100,000 บาทต่อเดือน ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย หลังเรียนจบก็ดูเป็นเรื่องยากที่จะหลีกหนีคุณภาพชีวิตในระดับนี้
“หนีผัวไปทำงาน ผัวยังไม่รู้เรื่องเลย มีไม่น้อยด้วย อาบอบนวดเปิดตั้งแต่บ่าย บางที่เปิดสิบเอ็ดโมง ว่างตอนไหนก็ไปรับ เซลล์ขายให้เรียบร้อยแล้ว นัดลูกค้าแล้ว ถึงเวลาขึ้นห้องอย่างเดียว รับเงินสดกลับบ้าน เคลียร์กันหน้าเคาท์เตอร์
"คนมันหาเงินได้แบบนี้ แล้วมันเรียนจบไปเริ่มต้นใหม่ สตาร์ท 2 หมื่นบาท นั่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ทนหัวหน้างี่เง่าโขกสับ ถามว่า เขาจะเอาไหม ทิ้งเงินแสนมารับ 2 หมื่น เท่าที่เห็นเขาก็ทำงาน 2 หมื่นแล้วแอบรับงานคู่กันไป เนี่ยไงที่เป็นจริงในสังคม”
มิ้วเล่าว่า อาบอบนวดแห่งหนึ่งจัดอีเว้นท์โดยจ้างนางแบบไปเดินโชว์ตัว ในราคา 7,000-8,000 บาท สุดท้ายมีลูกค้าถูกใจสรีระและใบหน้า เสนอราคาให้จนนางแบบหวั่นไหว
“ลูกค้าบอกผ่านผู้จัดการ ถามเด็ก 2 หมื่นไปไหม ก็มีคนไป” เธอเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมและตัวเงินที่มากพอมีผลต่อการตัดสินใจยิ่ง
รายได้งดงามก็จริง แต่คุณต้องลงทุนเสริมความงามดูแลตัวเอง โดยมีความเสี่ยงทั้งทางกายและใจวิ่งตามมา
“นัดไปเจอลูกค้าชื่อพี่ ก คุยแชทกันที่ 5,000 บาท แต่ไม่เจอแค่พี่ ก เจอพี่ ข ด้วย ไปถึงตรงนั้นบางคนปฏิเสธไม่ได้ กลายเป็นถูกข่มขืนก็มี ถูกเบี้ยวเงิน เบี้ยวค่าตัวก็เยอะ เด็กบางคนไปปาร์ตี้ เจอมอมยา ก็เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสเจอ”
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ก็นำพาไปสู่ความสนิทสนมเกินเลยได้โดยไม่รู้ตัว เช่น บางคนเริ่มจากรับงานกินข้าวนอกบ้าน รับงานเอนเตอร์เทน ทำไปทำมาก็ขยับพาตัวเองไปสู่การขายตัว หรือกระทั่งมียาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง
“เด็กมันรับงานเอนไปเรื่อยๆ รับกันอยู่ตลอดคนเดิมๆ 3-4 ครั้ง เริ่มไว้ใจ ผูกพัน สนิทสนม ลูกค้าบอกพี่ชอบน้องอ่ะ รับงานเพิ่มอีกหน่อยไหม เด็กเห็นตัวเงินก็เกิดความพอใจ เป็นธรรมชาติของความสัมพันธ์มนุษย์ที่มันมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง” เธออธิบายและบอกว่า ลูกค้าเองก็หน้ามืดและเคลิ้มเป็นเหมือนกัน เสียเงินแสนมากมาย และมีที่ให้เลาจน์คืนเดียวถึง 1 ล้านบาท
จากประสบการณ์ของมิ้วพบว่าเด็กหลายคนที่เข้ามาสู่วงการเพศพาณิชย์ มักมั่นใจในตัวเองสูงและคิดว่าสามารถเอาตัวรอดได้
“ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า คนทำงานแบบนี้ก็กร้านโลกพอสมควร แกร่งและรู้ทันคน แต่อย่างหนึ่งที่ตามมาคือความประมาท คิดว่าตัวเองรู้ดี รู้มาก รอดทุกสมรภูมิ แต่มันก็ไม่เสมอไป”
ในเชิงจิตใจ มิ้วบอกว่า การทำงานลักษณะนี้ลดทอนคุณค่า สูญเสียเกียรติและความภาคภูมิใจในตัวเองไปไม่น้อย และเมื่อรู้สึกด้อยค่าก็นำไปสู่การแสวงหาและพึ่งพาวัตถุที่ฟุ้งเฟ้อ
“เด็กที่เราคลุกคลีบางคนกลายเป็นคนคิดมาก ซึมเศร้า เริ่มก้าวร้าว เหวี่ยง ดื่มจัด บางคนพอรู้สึกตัวเองไม่มีค่าก็ไปพึ่งพาสิ่งของสวยๆ งามๆ แบรนด์เนม ต้องการแสดงตัวตนว่าฉันไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่น อะไรที่คนอื่นมีฉันก็มีได้ ทำให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่า”
บางคนเข้าวัดทำบุญ บริจาคอย่างสม่ำเสมอ เพื่อซื้อความสุขทางใจและความรู้สึกผิดพลาดที่ได้กระทำลงไป
“อาจรู้สึกเป็นบาปกรรม ทำบุญเผื่อจะล้างบาป ละลายความรู้สึกที่ไม่ดีไปได้บ้าง” เจ้าของหนังสือเปิดม่านพรหมจรรย์กล่าว
ยุทธจักรค้ากามในไทย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ง่ายๆ สำหรับกลุ่มที่อยู่ในระบบ นอกเหนือการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการและบุคคลแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องจ่ายก็คือ ‘เงินใต้ดิน’ หรือที่เรียกกันในวงการว่า ‘ค่าตั๋ว’
เธออธิบายว่า ค่าตั๋ว เป็นรายจ่ายที่มีรูปแบบค่อนข้างชัดเจน พูดง่ายๆ ว่าเป็นค่าคุ้มครอง อำนวยความสะดวก จำนวนเงินที่จ่ายขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้ง ขนาดพื้นที่ ช่วงเวลาในการเปิดปิด รวมไปถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวด้วย
“ไม่ให้ใครมารบกวนเรา มีอะไรคุยกันก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ มาปิดร้านเราเลย” เธอบอกถึงการทำงานของค่าตั๋ว
ด้วยความที่ค้าบริการเป็นธุรกิจสีเทา ทำให้หลายครั้งถูกเอาเปรียบจากผู้มีอำนาจ
“พวกดีๆ ก็มี พวกไม่ดีก็มีเยอะ ประเภทรีดไถ กินฟรีไม่พอ ห่อกลับบ้าน ขนเหล้าเป็นลัง อยากได้อะไรต้องไปทูลเกล้าถวายให้ เมามากร่างใส่ ยิงปืนในร้าน ต้องจัดเด็กให้ แล้วแต่สันดานคนนะ”
นอกเหนือจากค่าตั๋วแล้ว ผู้ประกอบการยังต้องจ่ายเงินให้กับ ‘ตัวกลาง’ หรือนักล็อบบี้ยิสต์ เพื่อคอยเป็นแบ็กอัปให้ร้านอยู่รอดปลอดภัย
“ร้านยิ่งใหญ่ต้องรู้จักคบคนใหญ่ๆ ผู้ประกอบธุรกิจพวกนี้รู้ดีอยู่แล้วว่าผิดกฎหมายแต่เมื่อเลือกที่จะทำก็ต้องยอมจ่าย มันเป็นอย่างนี้มานาน ทุกยุคสมัย ขึ้นอยู่กับว่ายุคใคร”
มิ้วทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ประเทศเราจะหยิบมันขึ้นมาอยู่บนดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ จำเป็นต้องถกเถียงถึงข้อดีและข้อเสีย ประเมินอย่างจริงจังว่า “คุ้มหรือไม่” มากกว่าผลตอบแทนเชิงภาษี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :