ไม่พบผลการค้นหา
คมคาย แสงศักดิ์ หรือ เบิร์ด พระเอกลิเกเสียงละมุน จากคณะลูกกบเสียงหวาน วัย 29 ปี ยึดอาชีพลิเกเลี้ยงกาย สร้างครอบครัว แต่ยังคงไม่ทิ้งการศึกษา มุ่งมั่นเรียนระดับปริญญาโท หวังต่อยอดวิชาชีพ เพื่อเป็นอาจารย์ สืบสานศิลปะลิเกให้คงอยู่

ยึดอาชีพลิเกมาตั้งแต่เด็ก มีเงินทองเลี้ยงดูครอบครัว ทำไมถึงต้องเรียนต่อ ไปจนถึงปริญญาโท ? เป็นคำถามที่หลายคน มักจะตั้งคำถาม กับ เบิร์ด คมคาย แสงศักดิ์ พระเอกลิเก คณะลูกกบเสียงหวาน

เบิร์ด ได้เล่าเรื่องราวชีวิต ให้กับ ทีมข่าว วอยซ์ ออนไลน์ ฟังว่า จุดเริ่มต้นเข้ามาเป็นลิเก มาจากครอบครัว ครอบครัวของเขาเป็นลิเก โตมาในโรงลิเก แต่จริงๆความฝันของเขา ในวัยเด็กอยากเป็นนักกีฬาฟุตบอล ถึงขนาดฝีมือสามารถติดเป็นนักฟุตบอลประจำจังหวัดได้ แต่ที่บ้านไม่อยากให้เป็นนักกีฬา ตอนอายุ 12 ปี แม่จึงหลอก บอกว่า มีคนมาเขาฝัน ว่าต้องให้ลูกชายเล่นลิเกเท่านั้น จากนั้นมา เขาเลยต้องเล่นลิเก และเริ่มเล่นแบบเต็มตัว ช่วงอายุ 14 – 15 ปี

“เราไม่ได้ชอบลิเก เล่นเพราะจำใจ โดนบังคับ แต่ทุกอย่างมันก็ซึบซับ กลายเป็นอาชีพเลี้ยงกาย พอเราได้ไปอยู่ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ ผมเรียนตั้งแต่ มัธยม 1 จนถึง ปริญญาโท มีช่วงหนึ่งผมเป็นอาจารย์ระดับมัธยมอยู่ 4 ปี ผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่เรา เราต้องมากกว่านั้น เลยต่อยอดมาเรียนปริญญาโท เพื่อจะเป็นอาจารย์และสืบสานศิลปะลิเกให้คงอยู่ การร้องลิเกของผม ไม่มีใครสอนนะ มันเหมือนอยู่ในสายเลือด เพราะเราฟังมาตั้งแต่เด็ก เราได้ยินพ่อแม่ พี่ป้าน้าอาร้องมา เราก็ร้องได้โดยปริยาย”

ลิเก

ความเป็นพระเอกลิเก ไม่จีรังยั่งยืน คือความคิด ที่เขาตกตะกอน หลังใช้ชีวิต และเลี้ยงชีพด้วยลิเกมาตลอด

“ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต ลิเกได้เงินง่าย แล้วหมดง่าย เงินมันร้อน มันเหมือนเป็นคำสาป ถ้าคุณไม่เก็บตอนที่คุณรุ่ง บั้นปลายคุณก็หมด คุณมั่นใจได้แค่ไหนว่า วันนี้ยันบั้นปลายชีวิต การยืนหยัดบนเวที มันจะยืนหยัดได้นานขนาดไหน คุณต้องมีการศึกษา เมื่อคุณหยุดอาชีพนี้แล้ว สังขารคุณไม่เที่ยงแล้ว คุณยังมีใช้ความรู้ของคุณ เดินต่อไป ทำให้คุณและครอบครัวอยู่ได้”

“แก่สิ้นเสียงกลอง ก็สิ้นเงิน แก่ตัวแล้ว ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไร เพราะลิเก ขาดการศึกษา”
ลิเก

ทั้งต้องเรียน ทั้งทำงานลิเก เดินสายแสดงทุกๆคืน ลิเกเสียงละมุน ออกตัวว่า “ผมเรียนไม่เก่ง แต่ผมมีความทะเยอทะยานสูง และสิ่งที่ผมเรียน ผมเรียนสายเดิม นาฏศิลป์ ตั้งแต่ ม.1 ถึง ปริญญาโท เพื่ออะไร เพื่อเวลาที่เราเป็นลิเก ใครมาถามว่า รำแบบนี้ มันถูกต้องตามแบบกรมศิลปากรไหม"

ผมชอบศิลปะลิเก มันไม่ตาย มันไม่มีแบบแผน ลิเกที่ผมแสดง ผมอยู่กันมา ไม่ใช่ลิเกซ้อม ไม่ใช่ลิเกฝึก เป็นลิเกที่มาจากเซ้นต์ จากการดูการจำ เป็นการดูศิลปินรุ่นพี่ รุ่นปู่ รุ่นอา คนนี้เล่นดีอย่างนี้ สร้างๆๆ ให้มันเป็นตัวเรา นี่แหละมันคือ สิ่งที่ไม่ตาย”

ลิเก

นอกจากจะแสดง ลิเก เบิร์ด คมคาย ยังมีโอกาส ชิมลางงานในวงการบันเทิง โดยเป็นนักแสดง ช่อง ONE

“ต้องขอบคุณ ป้าป้อม(ผู้จัดการส่วนตัว) เขาชวนเราไปคัดเลือกรายการ ช่วงนั้นเขาตามหาลิเกที่เล่นตลกได้ จากจุดนั้นก็ได้มาแสดงละครซิทคอม สูตรรักชุลมุน เป็นเรื่องแรก ตอนถ่ายทำน้ำตาตกนะ ผมไม่รู้มุมกล้องเลย จนตอนนี้เล่นละคร 2 เรื่องแล้ว สงครามนักปั้น และล่าสุด เสียงเอื้อนสะเทือนดาว ผมได้ใช้เรื่องความจำ ความครีเอท จากลิเก มาผสมผสานในการแสดง ผมดูบทแล้วจำแล้วก็เล่น มุกต่างๆก็นำจากหน้าเวทีมาเสนอผู้กำกับ และก็แสดง”

แม้จะเล่นลิเก มาตลอดชีวิต แต่ เบิร์ด ก็มองว่า การแสดงลิเก นั้น ยากกว่า การเล่นละคร

“ลิเก มันยากกว่าเล่นละครนะ เล่นละครไม่มีคนมายืนดูเรานะ แต่เราเล่นแบบนี้ คือ การเล่นสด คนยืนดูเรามากมาย เราจะทำยังไง ให้ในแต่ละคืนที่เราแสดง คนเข้าถึงบทบาทที่เราเล่น เล่นยังไงให้ได้ใจคนดู วันนี้เราเล่นเป็นตัวโกง เล่นยังไงให้คนเขวี้ยงของมา ให้ตะโกนว่าพอแล้ว พอแล้ว อย่าทำร้ายเขา เล่นยังไงให้ตลก ให้คนรู้สึกอินไปกับเรา อันนี้คือศาสตร์ที่ผมชอบ”

ลิเก

เบิร์ด ยังกล่าวทิ้งท้าย ถึงสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดใน อาชีพ ลิเก ว่า

“สิ่งที่ภูมิใจที่สุด สำหรับผม ก็คือ การได้เป็นที่รักของผู้คน ได้เป็นที่รู้จัก มันได้รับความรักแบบจริงใจนะ เขาไม่รู้จักเรา แต่มันได้รับความรักแบบนี้ มันอิ่มเอมใจ ต่างจากเงิน เงินอะได้ รางวัลอะได้ แต่ความรักมันได้จากความจริงใจ ทำให้เรามีแรงบันดาลใจ ที่จะเดินต่อไปในสายอาชีพนี้ครับ”

ลิเก