ไม่พบผลการค้นหา
ประธานคณะที่ปรึกษาฯ ด้าน ศก.ศบค.ชี้ ประชาชน-สังคม-เอกชน ต้องร่วมกับภาครัฐอย่าการ์ดตก ปล่อยให้การแพร่ระบาดกลับมาและสร้างปัญหาระลอกใหม่ ชี้ กม.บังคับอย่างเดียวไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นายจรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ที่ปรึกษา ศก.ศบค.ชี้ว่า มาตรการล็อกดาวน์หรือการหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดได้สร้างบาดแผลให้กับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนักแต่ก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์เริ่มมีความผ่อนคลายมากขึ้นและรัฐบาลก็เริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ต่างๆ บ้างแล้ว จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ฝั่งประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคเอกชนต้องเข้ามาร่วมมือกันรักษาสถานการณ์ไม่ให้การแพร่ระบาดกลับมาอีกครั้ง 

นายจรัสชี้ว่า ฝั่งประชาชนต้องตระหนักถึงปัญหาและช่วยกันรักษามาตรฐานในการดำเนินชีวิตต่อไป ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) รวมไปถึงการใส่หน้ากากอนามัย และย้ำว่าประชาชนต้องไม่การ์ดตก เช่นเดียวกับฝั่งองค์กรภาคเอกชนและประชาสังคมที่ต้องร่วมกันเผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะการใช้กฎหมายบังคับอย่างเดียวก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ทางสายการต้องอยู่ที่ตัวเลข-การประเมิน

นายจรัส อธิบายเสริมว่า ในมิติของโรคระบาดนั้น กระทรวงสาธารณสุขตั้งธงในการประเมินผู้ติดเช้ื้อไว้ที่ 14 หรือ 28 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่คาดว่าผู้ติดเชื้อจะหมดสภาพในการแพร่เชื้อไวรัสให้กับบุคคลอื่นไปตั้งแต่วันที่ 14 เป็นต้นไป ดังนั้นการจะประเมินว่ามาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรต้องรอดูผลเมื่อผ่านไปราว 14 วัน ว่าจะมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อดังกล่าว ก็จะถูกนำมาเป็นปัจจัยในการปรับใช้มาตรการดูแลเศรษฐกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา 

นายจรัส ย้ำว่า ในช่วง 1-3 เดือนนี้ ทางคณะที่ปรึกษาฯ ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นมาได้ราว 1 สัปดาห์ จะเร่งนำเสนอข้อแนะนำในเรื่องเศรษฐกิจต่างๆ ให้กับรัฐบาล ทั้งจะมองเลยไปยังสถานการณ์ที่ไกลออกไปว่าประเทศควรดำเนินนโยบายอย่างไรเมื่อโรคระบาดผ่านไปแล้ว