องค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ หรือ IRENA ซึ่งสนับสนุนและผลักดันการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาด ได้เปิดเผยในรายงานล่าสุดว่าภายในปี 2020 ต้นทุนของพลังงานทางเลือกจะถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล
องค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ หรือ International Renewable Energy Agency ซึ่งใช้ตัวย่อว่า IRENAได้เปิดเผยผลรายงานล่าสุดในงานประชุมประจำปี ที่อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า ต้นทุนของพลังงานทางเลือกที่จะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต จะถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2020 หรืออีก 2 ปีจากนี้
โดยรายงานระบุว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในปัจจุบันอยู่ที่ราว 0.05 - 0.17 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการผลิต 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ขณะที่ต้นทุนจากพลังงานทางเลือกจะมีราคาต่ำกว่า เช่น พลังงานน้ำอยู่ที่ 0.05 ดอลลาร์ พลังงานลม 0.06 ดอลลาร์ พลังงานชีวมวลและพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่ที่ 0.07 ดอลลาร์ และพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 0.10 ดอลลาร์
ส่วนพลังงานทางเลือกที่ยังแพงกว่าคือ พลังงานลมแบบ offshore หรือ กังหันลมนอกชายฝั่งทะเล และพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ แบบ Solar Thermal Energy ซึ่ง IRENA คาดว่าภายในปี 2020 ต้นทุนของพลังงานทั้งสองจะอยู่ที่ 0.06 ดอลลาร์ และ 0.10 ดอลลาร์ ต่อการผลิต 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ตามลำดับ โดยสาเหตุสำคัญมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีและการแข่งขันที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี IRENA ชี้ว่าพลังงานทางเลือกแต่ละประเภทล้วนมีข้อจำกัด อย่างพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ พลังงานลมมีข้อจำกัดเรื่องความไม่สม่ำเสมอของแหล่งพลังงาน ส่วนพลังงานความร้อนใต้พิภพและพลังงานน้ำก็มีข้อจำกัดเรื่องภูมิศาสตร์ ดังนั้น การใช้แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลก็ยังเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ขณะที่การแก้ปัญหาในระยะยาวจะไปตกอยู่กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันยังมีต้นทุนที่สูงมาก