กูรูในวงการพลังงาน เชื่อว่าราคาน้ำมันที่ต่ำกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น่าจะมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่การปรับลดพนักงานและงบประมาณด้านการลงทุนของบริษัทน้ำมันรายใหญ่ อาจเป็นสัญญาณขาลงของธุรกิจน้ำมันในไม่ช้า
รายงานข่าวจาก บีบีซี เวิลด์ นิวส์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ระบุว่า รอยัล ดัตช์ เชลล์ บริษัทน้ำมันข้ามชาติระดับโลก ปรับลดตำแหน่งงานลง 10,000 ตำแหน่ง จากก่อนหน้านี้ ได้ตัดงบประมาณการลงทุนของปีก่อน (58) ลงเหลือเพียง 28,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ น้อยกว่าเมื่อปี 2557 ถึง 8,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งยังขายทรัพย์สินออกไปในช่วงปีงบประมาณ 2558 อีก 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้บริษัทน้ำมันอื่นยังไม่มีข่าวปรับลดตำแหน่งงาน แต่ก็มีกำไรปี 2558 ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2557 เช่น บริษัท ปตท.ของไทย มีกำไรลดลงร้อยละ 62 กลุ่มเอ็กซอน โมบิล หรือเอสโซ่ กำไรลดลงร้อยละ 50 เชฟรอน ลดลงร้อยละ 76 และเชลล์ ลดลงถึงร้อยละ 87 เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือสัญญาณถดถอยของธุรกิจน้ำมันนับจากนี้
ผู้เชี่ยวชาญพลังงาน มองว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้า มีความเป็นไปได้ ที่น้ำมันหรือเชื้อเพลิงฟอสซิลจะกลายเป็นของล้าสมัย ลดบทบาทความสำคัญลง เนื่องจากมีพลังงานอื่นทดแทน
สอดคล้องกับงานเขียนเรื่อง Clean Disruption of Energy and Transportation หรือโฉมใหม่ของพลังงานและการคมนาคม ของ Tony Seba อาจารย์ผู้สอนวิชาความเป็นผู้ประกอบการและวิชาการสร้างแรงบันดาลใจ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐฯ มองภาพการใช้พลังงานในปี 2030 หรืออีก 15 ปีข้างหน้า
สิ่งที่จะเห็นเด่นชัดคือ น้ำมัน นิวเคลียร์ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน จะเป็นของล้าสมัย โดยพลังงานใหม่ทั้งหมดจะได้มาจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ แม้กระทั่งรถยนต์ที่ใช้ ก็เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด
แม้ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่คุณ Tony Seba กล่าวไว้ จะเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานอื่น มีโอกาสเข้ามาแทนที่รถใช้น้ำมัน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมในขณะนี้