แนวโน้มผู้บริโภคปี 2016 จะมีพัฒนาการ"เอาแต่ใจตัวเอง" เพิ่มมากขึ้น นิยามชนชั้นด้วยไลฟ์สไตล์ , ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ดั่งใจเพียงเล็กน้อยและไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงที จะส่งผลต่อแบรนด์หลายเท่า
นางสาวสรินพร จิวานันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นไวโรเซล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาด้านพฤติกรรมและจิตวิทยาผู้บริโภค กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในปีหน้า (59) จะเพิ่มดีกรีความซับซ้อนของพฤติกรรม การใช้ชีวิต และความต้องการพื้นฐานมากขึ้น โดยมี 6 ค่านิยมหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เน้นด้านอารมร์ของผู้บริโภคทั้งสิ้น ได้แก่
สุขนิยม (JoyLust) จากพฤติกรรมของรุ่นพ่อแม่ที่ไม่ต้องการให้ลูกลำบากเหมือนตนเอง และยังมี Social Media ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ และประเมินตัวเองตลอดเวลา เช่น ลงรูปแล้วคนกดไลค์น้อย ก็เครียดได้ ประเมินตนเองว่าลงรูปไม่น่าสนใจ ดังนั้นผู้บริโภคปี 2016 จะใช้ความสุขของตัวเองเป็นตัวตั้ง อะไรไม่มีความสุข จะไม่ทำ จะไม่ทำงานหนัก ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ และบริการก็จะต้องมั่นใจว่าจะไม่สร้างความเจ็บปวดให้ และซื้อแล้วมันมีความหมายต่อชีวิตอย่างไร สร้างความสุขอย่างไรให้ชีวิต
เทรนด์ที่สอง คือ แบบฉบับนิยม (I-Mage) เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคจะโชว์ในด้านดีของตัวเอง และแสดงความเป็นตัวเอง ต้องการเป็นเจ้านายตนเอง อัตราการเติบโตของคนทำงานงานอิสระ หรือฟรีแลนซ์ คาดการณ์ว่าจะโต 30% จากปี 2014 เป็น 40% ในปี 2020 และเนื่องด้วยความมีแบบฉบับหรืออัตตาที่สูงมากนี้ ทำให้คนเราไม่สามารถจะยอมรับคำติได้ ดังนั้นผู้บริโภคในปี 2016 จะพัฒนาความเป็นตัวตนไปถึงขั้น เลือกผลิตภัณที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง ยอมจ่ายแพง เพื่อสร้างเอกลักษณ์ สะท้อนตัวตน และคุณค่าให้ตัวเอง โดยที่ 56% ของผู้บริโภค ชอบผลิตภัณฑ์ที่สามารถออกแบบเองได้ ขณะที่ 48% หวังว่าแบรนด์จะสามารถเข้าใจผู้บริโภคในระดับปัจเจกจนสามารถที่จะออกแบบ ผลิตภัณฑ์และ บริการที่เฉพาะเจาะจงกับตัวตนของผู้บริโภคได้
แบบที่ 3 คือ ธรรมชาตินิยม (Farm-ganic) ของดีท้องถิ่น สุขภาพที่ดี ของสด ปลอดสาร ใช้ชีวิต ท่องเที่ยว ไลฟสไตล์แบบออร์แกนิค เป็นเทรนด์ที่จะมาแรงในปีหน้า โดยยอดขายอาหารออร์แกนิคในสหรัฐเติบโต 1,100% เทียบกับ 10 ปีก่อน เพราะถือเป็นความเท่ห์ เป็นชีวิตอีกชนชั้นหนึ่งที่ไม่ได้แบ่งด้วยรายได้ แต่แบ่งด้วยไลฟ์สไตล์ ดังนั้น ผู้บริโภคในปี 2016 จะโหยหาประสบการณ์ที่เรียล เป็นธรรมชาติและดิบ เช่น การทำอาชีพเกษตรกร สินค้า ไลฟสไตล์ ที่เป็นธรรมชาติ ทั้งออร์แกนิค การเสพศิลปะ รวมไปถึงการท่องเที่ยว ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนท้องถิ่น และจะไม่ใช้ของทิ้งขว้าง แต่จะเลือกใช้ของน้อยชิ้นที่มีความหมายต่อตน จะได้รับความนิยม
แบบที่ 4 สันโดษนิยม (Sole-cial)เนื่องจาก ¼ ของมนุษย์ใช้เวลาในสังคมออนไลน์ มากกว่าสังคมกายภาพ และเพลินที่จะอยู่ในสังคมดิจิตอล เพราะเป็นสังคมเสมือนฝัน ที่โพสต์ แล้วมีคนเข้ามาร่วมกดไลค์ชื่นชม เหมือนการสร้างโลกส่วนตัวที่ไม่มีคนติ มนุษย์จะค่อยๆพัฒนาไปสู่การสังคมแบบดิจิตอล คือหาเพื่อนที่เป็นผู้รับฟังที่ดี สุดท้ายจะมีเพื่อนในรูปแบบดิจิตอลจริงๆ นั่นคือหุ่นยนต์ โดยมนุษย์ยุค 2016 จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนักกับการไม่เจอเพื่อน แต่ 79% จะกังวล ถ้าไม่มีโทรศัพท์ติดตัว นอกจากนี้ การรับประทานอาหารคนเดียว (solo dinner) เติบโต 62% ในสหรัฐอเมริกา ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันปี 2015 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางคนเดียว 24% เติบโตขึ้น 10% และมีการคาดการณ์ว่า ที่อยู่อาศัยแบบอยู่คนเดียว จะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด มนุษย์จะมีความเกี่ยวพันกันน้อยลงเรื่อยๆ
แบบที่ 5 ดรามานิยม (Dramaqueen) ที่จริงแล้ว ทุกวันนี้คนเราเวลามากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องที่ทำให้เสียเวลาอย่างสมัยก่อน แต่ที่คนเรารู้สึกไม่มีเวลา เพราะมีเวลาว่างมาก จนทำให้มีเวลาไปคอยสอดส่องในโซเชียลมีเดีย สนใจเรื่องราวของคนอื่น จนมีเวลามาใช้กับโซเชียลมีเดียถึง 4 ชั่วโมงโดยเฉลี่ยต่อวัน เป็นที่มาของการ เสพติดดรามา เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคไม่ได้เสพข้อมูลหรือคอนเท็นต์เพียงด้านเดียวอีกต่อไป แต่จะเสพคอนเท็นต์ที่มี ดรามาผสม หรือ emotional content และทุกผลิตภัณฑ์จะหันมาเน้นการขายคุณค่าด้านอารมณ์ เพราะผู้บริโภคในปี 2016 จะไม่เสพข่าว content หรือใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ไม่ได้มีการสร้าง connection ด้านอารมณ์ร่วม
และอันดับที่ 6 คือ อัตโนมัตินิยม (Automatism) ชีวิตของคนรุ่นใหม่จะง่าย แบบไม่เคยง่ายขนาดนี้มาก่อน เช่น บริการเรียกรถโดยสาร แบบไม่ต้องเสี่ยงโดนปฎิเสธ , แอพลิเคชันที่แปลภาษาแบบทันทีทันใด ,ระบบคำสั่งเสียง และอนาคตอันใกล้ จะมีกลไกแบบ mind reading แค่คิดก็สามารถสั่งอุปกรณ์ต่างๆทำงานได้ ผู้บริโภคในปี 2016 จะพัฒนาความใจร้อน รอไม่ได้ ไปอีกถึงระดับขั้นทุกอย่างต้องได้ดังใจในทันที สรรหาผลิตภัณฑ์และบริการอะไรที่ทำให้ใช้ชีวิตแบบอัตโนมัติได้ แบบไม่ต้องคิด ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องจำ เข้าถึงง่ายโดยไม่จำกัดสถานที่ และไม่ต้องรอ
ทั้งหมดนี้กล่าวได้ว่า เทรนด์ผู้บริโภคปีหน้า (59) จะมีพัฒนาการเรื่องเอาแต่ใจตัวเองเพิ่มมากขึ้น นิยามชนชั้นด้วยไลฟสไตล์ ในรูปแบบ emotional ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ดั่งใจรวมทั้งความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและทันท่วงทีของผู้ให้บริการนั้น จะส่งผลมากเป็นหลายเท่าภายในใจผู้บริโภคที่มุ่งแต่จะหาความสุขในยุคนี้