ไม่พบผลการค้นหา
'พิชัย' เชิญชวน นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ให้ลงทุนในประเทศไทย ตามคำเชิญ Deutsche Bank จี้ 'รัฐบาลใหม่' รักษาระดับการฟื้นตัว การส่งออก การลงทุน ชี้ เร่งแก้ปัญหา ค่าบาทแข็ง หนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียเพิ่ม นักท่องเที่ยวลด ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ สินค้าต่างประเทศราคาถูกทะลักเข้าไทย

พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า ตนได้รับเชิญจากกลุ่มผู้บริหารของ Deutsche Bank ธนาคารอันดับหนึ่งของประเทศเยอรมัน เพื่อพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่หลายราย เช่น BlackRock, Aberdeen, Degroof Petercam, Nuveen, Ninety one เป็นต้น เพื่อให้ข้อมูลและชี้แนะทิศทางเศรษฐกิจไทย อีกทั้งเชิญชวนนักลงทุนต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ทั้งนี้ ตนได้ยืนยันว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจาก 10 ปีก่อนหน้านี้ ขยายตัวต่ำมาก โดยขยายตัวเฉลี่ยเพียงปีละ 1.9% จีดีพีในปี 2567 ขยายตัวได้ 2.5% และ จีดีพีในครึ่งปีแรกของ ปี 2568 ขยายได้ 3% ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ ขับเคลื่อนโดยการส่งออก การลงทุน และ การท่องเที่ยว โดยเฉพาะการส่งออกที่ขยายตัวได้ 14.4% ใน 7 เดือนแรกของปี 2568 และ การขอการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศที่สูงถึง 1.05 ล้านล้านบาทใน 6 เดือนแรกของปีนี้ หลังจากที่ปี 2567 มีการขอการส่งเสริมการลงทุน 1.14 ล้านล้านบาท และมีการลงทุนจริงเกือบทั้งหมด  ซึ่งหวังว่ารัฐบาลใหม่ จะสามารถรักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ด้วยการส่งออกและการลงทุนให้อยู่ในระดับนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาพัฒนาและจะสามารถแข่งขันได้ในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญอีกหลายปัญหาที่ต้องแก้ไขและบางปัญหาก็เรื้อรังมานาน เช่น ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทยมาก และ มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีกว่าไทยมากเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลและแบงก์ชาติต้องเร่งหาทางแก้ไขโดยด่วน เพราะค่าเงินบาทที่แข็งจะส่งผลให้การส่งออก การลงทุน และ การท่องเที่ยวลดลง และทำให้ระดับความสามารถแข่งขันของไทยลดลงมาก และ รัฐบาลใหม่จะต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากหนี้ยังสูงมาก ประชาชนส่วนไหญ่จะหารายได้ไม่เพียงพอที่จะจ่ายหนี้ หรือหารายได้ได้เท่าไหร่ก็ต้องจ่ายหนี้เกือบหมด ไม่มีเหลือในการจับจ่ายใช้สอยกันมากนัก 

ปัญหานักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนที่ต้องเร่งแก้ปัญหาข่าวในด้านลบเกี่ยวกับการมาท่องเที่ยวในไทย และ ความไม่มั่นใจในความปลอดภัย 

ปัญหาหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าว เนื่องจากการทุ่มตลาดของข้าวจากประเทศอินเดียที่มีปริมาณมากและขายในราคาราคาถูกมาก ทำให้ราคาข้าวเปลือกของไทยตกต่ำลงอย่างมากตามที่ตนได้เคยได้เตือนไว้แล้ว รวมถึงราคาผลไม้ไทย ที่ปีนี้มีผลผลิตออกมามากจากสภาวะภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย รวมถึงปัญหาสินค้าจากต่างประเทศราคาถูกที่ไหลทะลักเข้าประเทศไทย ทำให้ SMEs ไทยได้รับผลกระทบกันอย่างมากจึงต้องเร่งป้องกันและปราบปราม ตามที่รัฐบาลเดิมได้ตั้งคณะทำงานแก้ไขไว้แล้ว 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความหวังอย่างมากจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในอนาคตส่วนมากที่เข้ามาลงทุนในไทย เช่น PCB, Semiconductors, Data Center and Ai, Ai hardware, EV, Robotics, Green Energy, Electronics etc. รวมถึงการพัฒนาสินค้าเกษตร (Agricultural products Innovation) ซึ่งกระบวนการการลงทุนและพัฒนานี้ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล แต่มีทิศทางไปในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว

ดังนั้น จึงอยากให้นักลงทุนต่างประเทศมั่นใจได้ว่า แม้การเมืองและเศรษฐกิจไทยอาจจะมีความผันผวนบ้างตามธรรมชาติของประเทศไทย แต่ทิศทางของเศรษฐกิจไทยยังคงไปต่อได้และ เชื่อว่าการลงทุนในประเทศไทยจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงินลงทุนอย่างแน่นอน