ไม่พบผลการค้นหา
ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศแผนกระตุ้นวัคซีนโควิดแบบเคาะประตูถึงหน้าบ้าน หลังพลาดเป้าฉีดชาวอเมริกา 70% เข้าถึงวัคซีน 1 โดสช่วงวันชาติ ท่ามกลางความกังวลระบาดของเชื้อเดลตา

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนการณ์กระตุ้นการฉีดวัคซีนใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้พลาดเป้าทำเนียบขาวพลาดเป้าการที่จะให้ชาวอเมริกันอย่างน้อย 70% รับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 โดส ในช่วงวันชาติ 4 กรกฎาคม ทว่าช่วงวันชาติมีชาวอเมริกันรับวัคซีนได้ราวอย่างน้อยหนึ่งโดส 67% ขณะที่ชาวอเมริกัน 157 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนแล้วครบโดส เหตุหนึ่งที่ยังไม่ถึงเป้าดังกล่าวเนื่อง มีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน ท่ามกลางความกังวลของหลายฝ่ายเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่อาจเสี่ยงระบาดในสหรัฐฯ

ด้วยเหตุดังกล่าว ส่งผลให้ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศแคมเปญใหม่เพื่อกระตุ้นการฉีดวัคซีนด้วยการให้หน่วยฉีดวัคซีนเดินเคาะประตูฉีดถึงหน้าบ้านในพื้นที่ที่อัตราการฉีดวัคซีนยังต่ำอยู่  

"เราทยอยปิดศูนย์ฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาทำหน้าที่ได้ดีมากโดยเฉพาะช่วยเดือนมีนาคม ถึง พฤษภาคม โดยขณะนี้เรา ต้องขยับไปยังชุมชนแต่ละชุมชน ละแวกบ้านในแต่ละละแวก หรืออาจเป็นประตูบ้านแต่ละบ้าน เราจะเคาะประตูบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเพื่อให้พวกเขาได้รับการปกป้องจากไวรัส"

แคมเปญดังกล่าว ไบเดนนอกจากจะขยับการเข้าถึงวัคซีนไปยังตามประตูบ้านแต่ละหลังแล้ว รัฐบาลกลางยังเพิ่มความร่วมมือกับชุมชนร้านขายยาในท้องถิ่นอีกราว 42,000 แห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งอัตรารับวัคซีนยังต่ำ รวมถึงเจ้าหน้าที่แพทย์ประจำครอบครัวซึ่งชาวอเมริกันบางส่วนสะดวกใจรับคำปรึกษามากกว่า และเตรียมการเพิ่มจุดแจกวัคซีนโควิดตามงานเทศกาล ศาสนาสถาน และการแข่งขันกีฬาในช่วงหน้าร้อนนี้ อีกทั้งขยายการแจกจ่ายวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12-18 ปี ก่อนจะกลับเข้าเรียนตามปกติในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้

ไบเดนยังระบุว่า เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์ในขณะนี้ ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่คือผู้ที่ยังไมได้รับวัคซีน และผู้ที่ติดเชื้อใหม่รายวันกว่าครึ่งเป็นโควิดสายพันธุ์เดลตา โดยขณะนี้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตามีสัดส่วน 26% ของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศ

"โปรดไปฉีดวัคซีนทันที เพราะมันได้ผล ฟรี และเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดและสำคัญที่สุดในตอนนี้" ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำ

สำหรับความลังเลในการเข้ารับวัคซีนหลายพื้นที่เป็นอุปสรรคสำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐทางใต้และแถบมิดเวสต์ที่อัตราการเข้าถึงวัคซีนของประชากรยังน้อยอยู่ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่เชื้อจะแพร่ระบาดในง่ายกว่าพื้นที่อื่นซึ่งเข้าถึงวัคซีนแล้วในส่วนใหญ่

ที่มา: NYTimes