นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า ขอให้กำลังใจ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว. พาณิชย์ ให้ทำงานให้สำเร็จตามความคาดหวังที่สูงของประชาชนและกองเชียร์ ทั้งนี้หลังจากที่คุณศภจีได้เข้าไปทำงานจริงๆแล้ว จะพบว่างานในกระทรวงพาณิชย์มีเป็นจำนวนมาก และปัญหาก็มีมากเช่นกัน หากทำไม่ได้ตามที่คาดหวังจะทำให้สังคมผิดหวังอย่างรุนแรงและจะเสียชื่อเสียงได้ นอกจากนี้อยากให้ศึกษารายละเอียดในแต่ละเรื่องให้ชัดเจน มิเช่นนั้นจะทำให้สำเร็จได้ยาก ทั้งนี้อยากให้ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงานดังนี้
เรื่อง การส่งข้าว 280,000 ตันไปประเทศจีน ตนได้ติดต่อกับจีนตั้งแต่ปลายปี 67 และ ตลอด ปี 68 โดยเรื่องดังกล่าวผูกพันกับโครงการรถไฟความเร็วสูงตั้งแต่สมัยรัฐบาลไทยรักไทยที่จีนตกลงซื้อข้าวจากไทยจำนวน 1 ล้านตัน และไทยส่งไปแล้ว 720,000 ตัน แต่ยังขาดอีก 280,000 ตัน ที่จีนขอให้ผูกพันกับความคืบหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูง ถ้าทำเรื่องรถไฟความเร็วสูงควบคู่ไปได้ก็จะขายได้ทันทีเลย อย่างไรก็ตามตนอยากให้ดูตัวอย่างของการจัดงาน Thai Rice Convention ในวันที่ 25-27 พฤษภาคม ที่ผ่านมาที่กระทรวงพาณิชย์ในสมัยตนจัด และสามารถขายข้าวได้กว่า 6.6 แสนตัน และอีกแนวทางในการหาตลาดใหม่ โดยการไปขายข้าวที่ทวีปอัฟริกา ซึ่งขายข้าวได้กว่า 4 แสนตัน เป็นต้น แต่ราคาข้าวจะยังเป็นปัญหามากจากการที่อินเดียทุ่มตลาดในราคาที่ต่ำมาก
การปลูกกล้วยหอมส่งญี่ปุ่น เป็นแนวทางที่ถูกต้อง โดยจะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้อย่างมาก ประเทศเวียดนามก็ได้ส่งเสริมการปลูกกล้วยหอมเพื่อส่งออกไปญี่ปุ่น แข่งกับฟิลิปปินส์ที่เป็นเจ้าตลาด โดยมีความต้องการถึงปีละ 1 ล้านตัน แต่ไม่สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ ต้องเลือกพื้นที่ปลูก และ ต้องมีวิธีการปลูกและวิธีการเก็บตามแนวทางของญี่ปุ่น ซึ่งตนได้ทดลองปลูกร่วมกับผู้นำเข้าที่ญี่ปุ่นแล้ว 125,000 ต้นที่อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา และกำลังรอผลผลิตเพื่อพิสูจน์รายได้และการขยายพื้นที่ปลูกในอนาคต ตอนที่ตนเสนอกลับโดนโจมตีทั้งที่เป็นโครงการที่ดี แต่ รมว. พาณิชย์เสนอคนกลับชื่นชม จึงไม่แน่ใจว่าทำไมถึงต้องลบคลิปสัมภาษณ์และลบข่าวออกหมด และยังให้โฆษกรัฐบาลออกมาโต้ตอบแทนแบบข้อมูลบิดเบือน อ้างว่าไม่เหมือนกัน ทั้งที่เหมือนกันทุกอย่างเพราะข้อมูลมาจากแหล่งเดียวกัน
การส่งออกมันสำปะหลังกว่า 7.5 ล้านตันไปจีน ซึ่งเป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวขอร้องจีนให้ซื้อเพื่อไปทำอัลกอฮอล์ ทั้งที่ราคาข้าวโพดราคาต่ำมากผลิตอัลกอฮอล์ได้ราคาต่ำกว่าอัลกอฮอล์ที่ทำจากมันสำปะหลังมากแต่จีนก็ยังช่วยซื้อจำนวนมาก แต่ราคามันสำปะหลังก็ไม่ดีนักเนื่องจากจีนเป็นผู้กำหนดราคา
นอกจากนี้ยังมี การจัดการราคาผลไม้ที่ราคาลดลงมาก จากผลผลิตที่ออกมามาก เช่น ลำใย มังคุด มะม่วง ฯลฯ โดยตนได้แก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนที่มีการปนเปื้อนสาร BY2 ให้สามารถส่งออกไปจีนได้อย่างเรียบร้อยในฤดูกาลที่ผ่านมา ได้เงินเข้าประเทศกว่าแสนล้านบาท
ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงพาณิชย์ควรเร่งดำเนินการและสมารถทำให้สำเร็จได้ภายใน 4 เดือน ที่ต้องถือเป็น KPI สำคัญ มี 4 เรื่องดังนี้
1. การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เช่น ราคาข้าว ราคามันสำปะหลัง ราคาผลไม้ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ปัจจุบันราคาข้าวยังต่ำกว่าราคาสมัยที่ตนบริหาร โดยสมัยนั้นข้าวเปลือกนาปีอยู่ที่ตันละ 10,000 -11,000 บาท และข้าวเปลือกนาปรัง อยู่ที่ ตันละ 8,800-9,000 บาท
2. การรักษาระดับการส่งออก โดยการส่งออก 7 เดือนแรกของปีนี้ ที่ตนบริหารอยู่ขยายถึง 14.4% และ 10 เดือนที่นายกฯ แพทองธารบริหาร การส่งออกสูงถึง 13.3% การจะรักษาระดับการส่งออกให้อยู่ในระดับนี้จะทำอย่างไร โดยการเจรจา Tariff กับสหรัฐได้ผ่านไปด้วยดีแล้ว ทั้งนี้การคาดการณ์ส่งออกเดิมที่ 2-3% เป็นการคาดการณ์เมื่อ มกราคม 2568 ก่อนการส่งออกจะพุ่ง และ ก่อนการแก้ปัญหาภาษีทรัมป์ และตนได้ขยับการคาดการณ์เป็นกว่า 10% แล้ว โดย 8 เดือนยังขยายได้ 13.3% ซึ่งตามที่ รมว. พาณิชย์ให้ สัมภาษณ์ว่าจะขยายได้ 6-7% แสดงว่าอีก 4 เดือนที่เหลือการส่งออกจะติดลบ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ อยากให้คำนวณให้ดี และ อยากให้ รักษาระดับการขยายตัวการส่งออกให้ได้ เพราะจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกลับมาเร็ว เหมือนประเทศเวียดนาม ที่การส่งออกและ การลงทุนขยายตัวมากจน เศรษฐกิจเวียดนามแซงไทย โดยในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจเวียดนามขยายได้ถึง 8.23%
3. การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งตนได้ดำเนินการไว้แล้วและคาดหวังว่าจะจบได้ก่อนวันที่ 25 ธันวาคม 2568 ตามที่ได้ตกลงกันแล้วกับ Mr. Maros Sejkovic, EU commissioner on Trade ดังนั้นจึงอยากให้ทำให้สำเร็จได้ในเวลาที่กำหนด โดยก่อนหน้านี้ ตนสามารถจบการเจรจากับ EFTA (สวิส นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ ลิคเตนสไน์) ในเวลาเพียง 2 เดือนครึ่ง (หลังจากที่เจรจาค้างมากว่า 10 ปี) และ สามารถไปเซ็น FTA กัน EFTA ได้ในวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ระหว่างการประชุม WEF และ ต่อมาในวันที่ 4 เมษายน ได้เซ็น FTA กับ ประเทศ ภูฏาน ที่กรุงเทพระหว่างการประชุม Bimstec
4. การป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทย และ การแก้ปัญหานอมินี ซึ่งตนได้ดำเนินการไว้แล้ว โดยมีการฟ้องร้องสินค้าด้อยคุณภาพ 57,739 คดีและ กำลังตรวจสอบนอมินีกว่า 46,918 ราย อยากให้ เร่งดำเนินการให้เห็นผลโดยเร็ว เพราะ ธุรกิจ SMEs ได้รับผลกระทบอย่างมาก
เหมือนที่ได้กล่าวไว้ กระทรวงพาณิชย์มีเรื่องอีกมาก ซึ่งคงต้องใช้เวลานานกว่าจะแก้ไขได้ ดังนั้นจึงอยากเสนอเรื่องสำคัญเพียง 4 เรื่องนี้ในเวลา 4 เดือน ให้ รมว. พาณิชย์คนใหม่แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อไม่ทำให้ประชาชนและกองเชียร์ที่คาดหวังไว้ต้องผิดหวัง และ เชื่อว่าน่าจะต้องทำได้ โดยเมื่อสิ้นสุดรัฐบาลนี้แล้วจะได้มาวัดผลกันว่าผลงานเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ ขอให้กำลังใจ ขอให้ทำงานให้สำเร็จ