'เพื่อไทย' ถาม ป.ป.ช. ถ้าเป็นคนอื่นทำจะรอดไหม?
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ 5 ต่อ 3 เห็นว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ได้แสดงทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เพราะจากเอกสารหลักฐานพบว่านาฬิกาหรู 21 จาก 22 เรือน เป็นของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ และไม่มีข้อมูลหลักฐานเพียงพอ จึงตีเรื่องนี้ตกไป ส่วนพยานหลักฐานของแหวนเจ้าปัญหาจำนวน 3 วง ระบุว่าเป็นทรัพย์มรดกของบิดา พล.อ.ประวิตร ที่ได้รับมาจากมารดาระหว่างดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีความจำเป็นต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
ทางพรรคฯ ตั้งข้อสังเกตว่า มีอะไรเป็นมาตรฐานหรือตัวชี้วัดเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนว่ามีจริงหรือไม่ และเหตุใดคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเชื่อว่านาฬิกาเป็นของนายปัฐวาท เก็บที่บ้านตลอดจริง และเมื่อนายปัฐวาทเสียชีวิตไปนานแล้ว ใครเป็นคนอนุญาตให้ยืม และด้วยเหตุผลใด ทำไมจึงไม่มีการเรียกร้องหรือทวงคืน เพราะนาฬิกามีจำนวนหลายเรือนแถมมูลค่าเป็นร้อยๆ ล้านบาท
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวต่ออีกว่า การตัดสินของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในเรื่องนี้สร้างความคลางแคลงใจให้ประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก ว่า หากมีประชาชนคนอื่น โดนคดีแล้วให้เหตุผลว่ายืมมาจากเพื่อน จะรอดดังเช่น กรณีของ พล.อ.ประวิตร หรือไม่
ทางพรรคฯ มีความเห็นว่านาฬิกาเป็นของใช้เฉพาะบุคคล จะเป็นไปได้หรือที่มีเพื่อนมาขอยืมใส่กันหลายคน เพราะขนาดของข้อมือแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน และในการซื้อขายนาฬิกาหรูราคาแพง จากบริษัท น่าจะต้องมีการลงทะเบียนยืนยันการครอบครอง หาก ป.ป.ช. นำหลักฐานเหล่านี้มาแสดงให้กับประชาชนได้ทราบว่า ใครคือผู้ที่ซื้อนาฬิกาเหล่านี้มา คงจะช่วยไขความกระจ่างเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้คลายความเคลือบแคลง สงสัยในใจลงไปได้บ้าง
ทษช. ชี้ ป.ป.ช.สร้างมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมใหม่จากปมชี้มูลนาฬิกาหรู
ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล รองโฆษกพรรคไทยรักษาชาติ เปิดเผยถึงกรณีนี้ด้วยเช่นกันว่า นี่คืออีกผลงานชิ้นโบว์ดำของรัฐบาล คสช. รัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ใช้ระบบการปกครองบริหารแบบเผด็จการไม่เห็นหัวประชาชน ทำให้การตรวจสอบความโปร่งใสของผู้มีอำนาจไร้ความหมาย กว่าหนึ่งปีที่ประชาชนรอคอยผลการตรวจสอบที่มาของนาฬิกา แต่คำตอบสุดท้ายคือหาที่มาของนาฬิกาไม่ได้ และโอนเรื่องต่อให้กรมศุลกากรดำเนินการต่อ
น.ส.ขัตติยา มองอีกว่า หนึ่งปีของการพิจารณาสอบสวนเรื่องนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร เป็นแค่พิธีกรรมปาหี่โกหกประชาชน และเชื่อว่าผลสอบที่ออกมาไม่ได้เหนือความคิดหมายหรือสร้างความแปลกใจให้ประชาชน แต่ทำให้ประชาชนเห็นถึงความไม่จริงใจในการใช้อำนาจ เพื่อปกป้องคนใน คสช. และปกป้องรักษาอำนาจของรัฐบาลเผด็จการไว้ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงอยากให้ประชาชนพิจารณาให้ดีว่า การเลือกตั้งวันที่ 24 ก.พ. 2562 จะเลือกพรรคที่สนับสนุนประชาธิปไตย หรือพรรคที่สืบทอดอำนาจระบบเผด็จการ
อย่างไรก็ตาม มติของ ป.ป.ช. เรื่องนี้จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่สำคัญให้นักการเมืองหรือข้าราชการที่จงใจทุจริต ใช้เป็นมาตรฐานในการแก้ข้อกล่าวหา และต่อไป ป.ป.ช. จะทำงานลำบาก เปิดช่องให้เกิดการทุจริต มตินี้จึงกลายเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญว่า ป.ป.ช.เป็นองค์กรที่ถูกครอบงำโดยเผด็จการ หมดความน่าเชื่อถือ และขาดความเป็นอิสระ
'รสนา' จี้ ป.ป.ช.เปิดเหตุผลของมติที่ไม่ชี้มูลความผิดผมนาฬิกาหรู
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม. โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงเรื่องนี้ด้วยว่า การที่ ป.ป.ช.ยกคำร้องเรื่องนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ใส่เป็นการยืมเพื่อนมา แล้วปิดคดี แสดงถึงความมือตกของ ป.ป.ช. ที่ไม่ใช่การตรวจสอบแบบมืออาชีพใช่หรือไม่ การปิดคดีไปดื้อๆ แบบนี้ จะถือได้หรือไม่ว่าเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ เพราะเข้าใจผิดว่าอำนาจเป็นของตน จะใช้อย่างไรก็ได้
นอกจากนี้ น.ส.รสนา ยังยกตัวอย่าง กรณีนายสุพยน์ ทรัพย์ล้อม ที่อ้างว่ายืมรถคนอื่นมาใช้ โดยที่ทะเบียนก็เป็นชื่อคนอื่นจริงๆ แต่ ป.ป.ช.ยังไม่เชื่อ และทำสำนวนส่งฟ้องศาลฯ แต่ทำไมกรณีพล.อ.ประวิตร ถึงเชื่อง่ายๆ ว่า นาฬิกาที่ใส่เป็นการยืมเพื่อน ทั้งที่นาฬิกาดังกล่าวไม่มีเอกสารยืนยันว่าเป็นของใคร พร้อมบอกด้วยว่า การใช้อำนาจต้องมีเหตุผลรองรับที่วิญญูชนรับฟังได้ ดังนั้น ป.ป.ช ควรมีการเปิดเผยคำวินิจฉัยส่วนตนของคณะกรรมการป.ป.ช ทั้ง 8 ท่าน ระหว่างเสียงข้างมาก5ท่านที่ให้ยกคำร้องว่าไม่มีมูล และเสียงข้างน้อย 3ท่านว่าให้มีการหาข้อมูลเพิ่มนั้น กรรมการทั้ง8ท่านให้เหตุผลไว้อย่างไรบ้าง
'ชูวิทย์' บอกรู้งี้ถ้า 'ยืม' มาแล้วรอด ไม่สารภาพให้ติดคุกจริงๆ
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า คนอย่างตนมีสิทธิพูดเรื่องนี้ เพราะ ป.ป.ช.ส่งตนเข้าคุกมาแล้ว ไม่ว่าเงินน้อย เงินมาก หากว่าลืมรายงาน กฎหมายสันนิษฐานว่า "มีเจตนาจงใจปกปิดทรัพย์สิน" อย่างตนลืมรายงานหุ้นเป็นเงินแค่ 150,000 บาท
สมัยก่อนให้เงินนักร้องยังมากกว่านี้ แต่จะพูดแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะท่านว่าเป็นกฎหมาย แต่วันนี้ ป.ป.ช. สอบเรื่องนาฬิกาหรูแล้วสรุปว่า ยืมเพื่อมา, ไม่ใช่ของ พล.อ.ประวิตร, นาฬิกาเป็นของเคลื่อนย้ายได้, นาฬิกาไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่เข้าใจ
พร้อมทิ้งท้ายว่า "นี่ถ้ารู้ว่า "ยืม" แล้วรอดแบบนี้ ผมไม่สารภาพให้ติดคุกจริงๆ" คิดแล้วน่าเจ็บใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง