บทความจาก BBC ซึ่งเขียนโดย สเตฟานี เฮการ์ที บอกเล่าเรื่องราวของมหาเศรษฐีหนุ่มชื่อ แดน ไพรซ์ CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท Gravity Payments บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินประมวลผลบัตรเครดิต ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองซีแอตเทิล มลรัฐวอชิงตันของสหรัฐฯ
ไพรซ์เล่าว่าเขาก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี เมื่อเวลาผ่านไปเขาประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ จนมีลูกค้ามากกว่า 2,000 คน และในวัยเพียง 31 ปีเขาก็กลายเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างตัวขึ้นมาด้วยลำแข้งของตัวเอง และบริษัท Gravity Payments ก็มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจุบัน
ในปี 2015 แม้ไพรซ์จะมีรายได้ต่อปีมากถึง 1.1 ล้านดอลลาร์ หรือราว 34.72 ล้านบาท เขากลับพบว่าตัวเองไม่มีความสุขเลยเมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่พนักงานในบริษัท 120 คนของเขาต้องเผชิญอยู่ ซึ่งเขารู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของพนักงานทุกคน
ไพรซ์เล่าให้ สเตฟานี เฮการ์ที ผู้สื่อข่าว BBC ฟังต่อ โดยยกกรณีที่ทำให้เขามองโลกเปลี่ยนไปว่า วันหนึ่งระหว่างที่เขากำลังปีนเขาแคสเคดในนครซีแอตเทิลกับเพื่อนสนิทที่เคยทำงานรับใช้ชาติในกองทัพสหรัฐฯ อย่าง 'วาแลรี' อยู่ เธอกล่าวว่าเธอกำลังตกอยู่ในสถานการร์ลำบากเนื่องจากเงินเดือนที่ได้รับนั้นไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในแต่ละเดือน และค่าเช่าบ้านรายเดือนก็เพิ่งจะปรับเพิ่มอีก 200 ดอลลาร์
คำบอกเล่านั้นทำให้ไพรซ์ประหลาดใจมากเพราะวาแลรีคือคนที่ขยันทำงานอย่างมาก เธอทำงานถึง 2 อาชีพในเวลาเดียวกัน นับรวมแล้วเธอทำงานมากถึง 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สร้างรายได้ปีละประมาณ 40,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.26 ล้านบาท แต่รายได้เท่านี้ไม่สามารถซื้อบ้านดีๆ สักหลังในซีแอตเทิลอยู่ด้วยซ้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของตัวเองทำให้ไพรซ์ตระหนักว่า พนักงานจำนวนมากต้องอดอยากแม้ทำงานหนัก หลายคนถูกปลด ขณะที่หลายคนก็ถูกเอาเปรียบ เพื่อที่ว่ากลุ่มคนรวยเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของประเทศจะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในเพนต์เฮาส์หรูราคาหลายร้อยล้านบาทใจกลางนิวยอร์กได้
ข้อมูลทางสถิติชี้ว่า ก่อนปี 1995 คนจนที่สุดครึ่งประเทศในสหรัฐฯ ได้รับส่วนแบ่งทางความมั่งคั่งของประเทศมากกว่า 'กลุ่ม 1 เปอร์เซ็นต์' ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่รวยที่สุดในประเทศ แต่หลังจากปีนั้นเป็นต้นมา กลุ่ม '1 เปอร์เซ็นต์' ได้รับส่วนแบ่งทางความมั่งคั่งของประเทศมากกว่ากลุ่มคนจนที่สุดครึ่งประเทศ นอกจากนั้น ในปี 1965 บรรดา CEO ในสหรัฐฯต่างทำเงินได้มากกว่าพนักงานทั่วไปราว 20 เท่า แต่ในปี 2015 พบว่าพวกเขาทำเงินสูงกว่าพนักงานทั่วไปมากถึง 300 เท่า
This https://t.co/zycCEAvPbQ is a follow-up on the Gravity Payments story, where the CEO raised everyone's salary to 70k if it wasn't there already. These are the kinds of things you can do with power. I'd love to interview him for PowerPivot.
— Leela Sinha (@LeelaSinha) February 28, 2020
(https://t.co/aKjaxlqIir)
นอกจากความเหลื่อมล้ำทั้งหมดที่เกิดขึ้น และประสบการณ์ตรงของเพื่อนสนิท ไพรซ์ได้เรียนรู้หลักการที่น่าทึ่งจากงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของ 'แดเนียล คาห์เนมาน' และ 'อันกัส เดทัน' นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล ผู้สร้างสรรค์งานวิจัยเกี่ยวกับ "ชาวอเมริกันจำเป็นต้องใช้เงินเท่าใดจึงจะมีความสุข" หลังจากได้อ่านงานวิจัยนี้อย่างละเอียด ไพรซ์เริ่มทำตามทันที โดยการคำนวณจากสูตรที่งานวิจัยระบุจนสุดท้ายแล้วเขาหาข้อสรุปออกมาได้ว่าค่าแรงขั้นต่ำที่พนักงานของเขาต้องการคือ 70,000 ดอลลาร์ หรือราว 2,367,000 บาทต่อปี จึงจะสามารถมีความสุขกับชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม การจะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ไม่เพียงแต่เขาจะต้องยอมลดรายได้ของตัวเองลงปีละ 1 ล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่ไพรซ์ยังต้องนำบ้านทั้งสองหลังของตัวเองเข้าจำนอง และปล่อยเช่าใน Airbnb ยอมเสียหุ้น รวมถึงเงินเก็บของตัวเองด้วย และเปลี่ยนไปขับรถธรรมดาๆ จึงจะสามารถเพิ่มฐานเงินเดือนของพนักงานทั้ง 120 คนได้ตามแผน หลังจากนั้นเขาได้เรียกประชุมพนักงานทุกคนพร้อมบอกข่าวดี ไพรซ์คาดว่าเขาจะต้องเห็นสีหน้าดีใจอย่างมากจากพนักงานแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนต่างแสดงความตกใจและตกตะลึงในการตัดสินใจของเจ้านาย
หลังความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นั้น บริษัท Gravity ได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ 5 ปีหลังการประกาศขึ้นค่าแรง จำนวนพนักงานในบริษัทเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว และมูลค่าการทำธุรกรรมทางการเงินผ่าน Gravity เพิ่มจาก 3,800 ล้านดอลลาร์ เป็น 10,200 ล้านดอลลาร์
สิ่งที่เขากลับภาคภูมิใจมากที่สุดกลับเป็นความสุขที่พนักงานในบริษัทได้รับ เห็นได้จากการตัดสินใจมีบุตรที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยก่อนการปรับฐานเงินเดือนของทุกคนเป็น 70,000 ดอลลาร์ มีเด็กเกิดใหม่จากพนักงานในบริษัทไม่ถึง 2 คน เพราะทุกคนยังไม่มีศักยภาพมากพอที่จะมีบุตร แต่ผ่านไปเพียง 4 ปีครึ่ง ขณะนี้มีเด็กเกิดใหม่มากถึง 40 คน เลยทีเดียว
นอกจากนั้น พนักงานมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทสามารถที่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้ในเมืองที่มีค่าเช่าแพงติดอันดับต้นๆ ของประเทศอย่างซีแอตเทิล จากเดิมที่สัดส่วนของพนักงานที่สามารถซื้อบ้านได้มีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เท่านั้นยังไม่พอ พนักงานในบริษัทยังสมัครใจเก็บเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพกับบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และพนักงาน 70 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทสามารถปลดหนี้ได้เรียบร้อยแล้ว
Thin3 Things I Learned by Paying a $70,000 Minimum Wage https://t.co/cGLAYRGbrL pic.twitter.com/oPRQjIjsvo
— GravityPayments (@GravityPymts) January 30, 2020
ความสำเร็จนี้ทำให้ไพรซ์ได้รับความสนใจจากสื่อและประชาชนอย่างมาก เขาได้รับจดหมายชื่นชมและให้กำลังใจแบบนับไม่ถ้วน ถึงขั้นที่เคยขึ้นปกนิตยสารดังพร้อมได้รับฉายา "America's Best Boss" แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงมีอุปสรรคเสมอ ในช่วงแรกหลังจากที่มีการรายงานข่าวเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงพนักงานของบริษัท Gravity ออกไปสู่สาธารณะ ลูกค้าของเขาเองบางคนกล่าวหาว่านี่คือแผนการทางการเมือง
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่หลายภาคส่วนในนครซีแอตเทิลพยายามถกเถียงกันถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของมลรัฐวอชิงตันให้เป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดเล็กต่างพากันออกมาต่อต้าน เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบอย่างหนักจนอาจถึงขั้นขาดทุนจนต้องปิดกิจการ และหนึ่งในผู้ที่ออกมาต่อว่าสิ่งที่ไพรซ์ทำและเรียกเขาว่าเป็น 'คอมมิวนิสต์' ก็คือ รัช ลิมโบ นักจัดรายการวิทยุผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่ไพรซ์ชื่นชอบอย่างมากตั้งแต่วัยเด็ก
ลิมโบ กล่าวว่า เขาหวังให้กรณีการปรับฐานเงินเดือนพนักงานบริษัท Gravity จะถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตร MBA เพื่ออธิบายว่าทำไมนโยบายสังคมนิยมแบบนี้ไม่มีทางสำเร็จ เพราะยังไงสิ่งที่ไพรซ์ทำก็ต้องล้มเหลวแน่นอน ขณะที่พนักงานระดับสูงของบริษัท Gravity เอง 2 คนก็ขอลาออกในช่วงต้นเช่นกัน เพราะพวกเขารับไม่ได้ที่เงินเดือนของพนักงานใหม่กระโดดเพิ่มขึ้น 2 เท่าทันทีในชั่วข้ามคืน ซึ่เขาทั้งสองคนมองว่านโยบายนี้จะทำให้คนทั้งบริษัทขี้เกียจมากขึ้นและไม่มีทางแข่งขันกับบริษัทอื่นได้
แต่ไพรซ์ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาถูกกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง
ที่มา: BBC/ The Guardian/ SBS