วันนี้ 13 มิถุนายน 2568 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับทราบเรื่องการรับร่างแรงงานไทยที่เป็นตัวประกันรายสุดท้ายที่เสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอลกลับมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต และขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการประสานงานช่วยเหลือจนสามารถนำร่างผู้เสียชีวิตกลับคืนมาตุภูมิ สู่ครอบครัวที่จังหวัดแพร่
นายคารม กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่จังหวัดแพร่เพื่อเยี่ยมครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว พร้อมแจ้งสิทธิประโยชน์แก่ครอบครัวทราบ โดยจะอำนวยความสะดวกในการประสานเกี่ยวกับขั้นตอนและเอกสารต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์โดยเร็วที่สุด สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ทายาทจะได้รับ มีดังนี้
1. สถาบันประกันภัยอิสราเอล ปัจจุบันทายาทยื่นขอรับเงินสิทธิประโยชน์ (กรณีตัวประกัน) และได้รับเงินชดเชยเรียบร้อยแล้ว และเมื่อได้รับยืนยันการเสียชีวิตทางสถาบันประกันภัยอิสราเอลฯ จะเปลี่ยนเป็นสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตแทน และทายาทจะได้รับเงินชดเชย ได้แก่ ค่าทำศพ ประมาณ 79,000 บาท / ค่าใช้จ่ายในการฝังศพ เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 47,000 บาท (1,300 USD) เงินช่วยเหลือการเป็นหม้าย (หากมีภรรยา) ประมาณ 57,000 บาท /เงินชดเชยรายเดือนและรายปีอื่น ๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสถาบันประกันภัยอิสราเอล
2. กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ กรมการจัดหางาน กรณีเสียชีวิต ครอบครัวหรือทายาทได้รับเงินสงเคราะห์เหมาจ่าย 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพในต่างประเทศเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสาร/หลักฐาน
3. สิทธิจากกองทุนประกันสังคม ผู้เสียชีวิตเคยเป็นผู้ประกันตนมาก่อน มีสิทธิได้รับเงินชราภาพ 64,202.18 บาท ไม่รวมดอกผล
4. เงินค่าจ้างค้างจ่าย / เงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง (เงินปิซูอิม) ซึ่งในส่วนนี้ฝ่ายแรงงานฯ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ อยู่ระหว่างการติดตาม
"รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน จะดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงานที่เสียชีวิตให้ได้รับสิทธิประโยชน์พึงได้ตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ขอให้แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เดินทางไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และต้องแจ้งข้อมูลที่ด่านตรวจคนหางานก่อนเดินทางออกนอกประเทศทุกครั้ง เพื่อกระทรวงแรงงานจะได้ทราบข้อมูล ติดตาม และดูแลสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เช่นนี้” นายคารม ระบุ