น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวว่าหลายเดือนที่ผ่านมา สภาพการณ์การเมืองไทย ในประเด็นการเป็นเจ้าของสื่อของนักการเมือง ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ห้ามไม่ให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งถือครองหุ้นสื่อ โดยเจตนารมณ์คือ ไม่ต้องการให้นักการเมืองครอบครองสื่อ เพื่อใช้ให้เป็นคุณแก่ตัวเอง และใช้เป็นโทษแก่คนอื่น แต่ในประเทศไทย มีกรณีที่นักการเมืองมีความเกี่ยวพัน เป็นเจ้าของ สื่อ ชัดเจน แต่ไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ คือ กรณี น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ได้ลาออกจากผู้บริหารเครือเนชั่น ก่อนให้สามี คือ นายฉาย บุนนาค ดำรงตำแหน่ง ผู้บริหารของเนชั่นแทน
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ทำให้เกิดคำถามว่า เรื่องการถือหุ้นสื่อของ ส.ส. หลายสิบคน เป็นเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งที่ปัญหาเกิดจากใบบริคนห์สนธิ บางกรณีนักการเมืองแสดงหลักฐานทุกอย่างแล้วว่าโอนหุ้นก่อน แต่ก็ยังมีคดี แต่กรณีของ น.ส.วทันยา กลับชัดเจน แต่กฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่เพียงเท่านั้น เนชั่นได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทำการอันเป็นคุณแก่พรรคการเมืองบางพรรค และเป็นโทษแก่พรรคการเมืองบางพรรคอย่างเป็นระบบ
น.ส. พรรณิการ์ กล่าวว่า เครือข่ายของเนชั่น ประกอบด้วย เครือเนชั่นกรุ๊ป และนิวส์เน็ตเวิร์ค มีทั้ง สำนักข่าวเนชั่น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทีนิว หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ช่องสปริงนิวส์ NBC นอกจากนี้ยังมีการตั้งสถาบันทิศทางไทย ที่พยายามยกระดับ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในเครือของเนชั่น ซึ่งกรรมการผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ประกอบด้วย นายฉาย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เวทิน ชาติกุล นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย ซึ่งคนเหล่านี้ได้เป็นผู้บริหารเครือเนชั่น และมีการแลกเปลี่ยน และอ้างอิงข่าวสารกันไปมา
เนชั่นเสนอข่าวพรรคอนาคตใหม่เฉลี่ยวันละ 9 ข่าว 36 นาที เฉลี่ยเป็นเบรกเช้า เที่ยง เย็น ช่วงละประมาณ 12 นาที หมายความว่าจะมีข่าวอนาคตใหม่ 1 เบรคเต็มๆ ในทุกช่องข่าวหลักของเนชั่น คนในวงการโทรทัศน์ทราบดีว่า ทุกนาทีเป็นเงินเป็นทอง เวลา 36 นาทีย่อมเป็นเงินมหาศาล
โดยได้เก็บข้อมูลช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าตั้งแต่วันที่ 1-10 พ.ย. รายการคมชัดลึก ของเนชั่น นำเสนอข่าวพรรคอนาคตใหม่ 44.44 เปอร์เซ็นต์ในเวลาทั้งหมดโดยเฉลี่ย โดยเป็นการเชิญบุคคลมาสัมภาษณ์เพื่อชี้นำความเห็นเชิงลบ อาทิเช่น นายทรงกลด ชื่นชูผล นางหฤทัย ม่วงบุญศรี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พวกเขามีทัศนคติอย่างไร แต่กลับไม่มีการนำคนที่มีทัศนคติต่างมาออกรายการ ตามจรรยาบรรณของสื่อมวลชน
ทั้งนี้ น.ส.พรรณิการ์ระบุว่าจะเตรียมรวบรวมข้อมูล และข้อเท็จจริงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและดิจิทัล ไปตรวจสอบเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย โดยยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนการใช้ พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ