ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ แนะนำ "ตื่นจากฝัน" ลงมือทำ-มีวินัย ชี้ต้องเป็น 'ขี้ข้า' ก่อนจะสำเร็จ

วันที่ 17 พ.ย. เวลา 17.00 น. ( ตามเวลาท้องถิ่น นครซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ ช้ากว่าเวลาที่กรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง ) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง เปิดโอกาสให้ตัวแทนชุมชนชาวไทยในสหรัฐฯ 180 คน เข้าพบ พร้อมเล่าว่า เคยเรียนอยู่อเมริกา 6 ปีเต็ม พยายามหางานทำที่นี่ แต่มีปัญหาเรื่องใบอนุญาตทำงาน( work permit ) และ วีซ่า

อีกทั้งผลการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้เรียนเก่งมาก จนมีบริษัทต้องการตัว จึงกลับไปทำงานบริษัทต่างชาติในไทย

ส่วนตัวมีความไม่สบายใจ และถูกล้อเลียนจากฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่จะสร้างอนาคตให้ลูกหลานคนไทย แต่ลูกชาย 2 คนของตัวเอง ไม่ยอมกลับเมืองไทย ยังทำงานอยู่เมืองนอก ซึ่งพยายามที่จะหัวเราะให้กับมุขตลกตรงนี้ให้ได้ แต่ความจริงไม่ใช่เรื่องขมขื่นอะไร ดีใจที่ลูกทั้งสองคน มีความสุขที่อยู่ในต่างประเทศใช้ชีวิตและอิสรภาพได้

แม้ในฐานะผู้ปกครองจะอยากให้เขากลับไปใช้ชีวิตที่เมืองไทยดีกว่า แต่ต้องยอมรับโดยตรงว่าประเทศไทยไม่มีข้อเสนอที่ดีกว่า แม้แต่หลายคนในที่นี้ รัฐบาลก็อยากให้กลับมาทำงาน เพื่อสนับสนุนประเทศ และนี่ก็คือเหตุผลที่เข้ามาทำงานการเมือง เพราะอยากทำให้ประเทศดีขึ้น

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนชุมชนไทย สอบถามในหลายประเด็น

โดยมีนักศึกษาไทยคนหนึ่ง ตั้งคำถามกับนายกฯว่าทำอย่างไรจะประสบความสำเร็จแบบนายกฯ ซึ่งนายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำ 2 อย่าง คือ ต้องทำงานหนัก และมีวินัย พร้อมยกตัวอย่าง ลูกทั้ง 3 คน ซึ่งเรียนจบในมหาวิทยาลัยชื่อดังของโลก ตนเองไม่ได้สั่งแค่มองตาก็รู้ใจ ขอให้ลูกทำงานก่อน 3 ปี โดยใช้คำแรงว่า "ให้เป็นขี้ข้าก่อน" ทำงานให้รู้ระบบ ก่อนจะเป็นเจ้านายคน หรือ แม้แต่ตนเองเมื่อเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ก็ต้องกลับมาทำงานตอกบัตรเข้างานเหมือนกับคนทั่วไป

ดังนั้น อยากให้ทุกคนตระหนักว่า การจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือน "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ไม่ใช่ฝัน เพียงอย่างเดียว แล้วจะประสบความสำเร็จ หากจะให้ตนเองแนะนำ ก็ขอแนะนำว่า สิ่งที่จะทำให้ฝันเป็นจริงก็คือ "ตื่น" ต้องตื่นขึ้นมาทำ


ลั่นพาไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า ยินดีที่ได้มาพบกับพี่น้องชาวไทยทุกคน เราต้องช่วยกันเสริมสร้างความแข็งแกร่ง สร้างขีดความสามารถของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ตนเดินทางเข้าสู่ชีวิตการเมือง

ทั้งนี้ตั้งแต่รับหน้าที่มาสองเดือนกว่าได้เดินทางไปในหลายๆ ประเทศ รัฐบาลนี้มีหน้าที่ภารกิจหลักที่ต้องทำคือประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่า ประเทศไทยเปิดแล้ว ประเทศไทยพร้อมแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่ดีกว่าเวลานี้อีกแล้ว ที่จะมาลงทุนในประเทศ

เศรษฐา กล่าวต่อไปว่า ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในช่วงสองเดือนที่ได้เดินทาง ส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาลที่ผ่านมาที่ได้ปูทางไว้แล้ว ตนเองและรัฐบาลนี้ได้มาสานต่อ โดยมีทีมงานที่แข็งแกร่งได้ทำงานกับหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบีโอไอ กระทรวง ทบวงกรมต่างๆ ซึ่งมีข้าราชการที่มีความสามารถ และมีความปรารถนาดีกับประเทศมาช่วยกันทำงาน ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น เช่น บริษัทอเมซอน Google และ Facebook รวมถึงบริษัทนักลงทุนจากประเทศจีนก็มีความสนใจมาลงทุนบริษัทรถไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าภายใน 2-3 เดือนจะมีการลงทุนอย่างแน่นอน

นายกฯ กล่าวว่า การเดินเข้าสู่เวทีการเมือง สิ่งที่ต้องการทำคือ ต้องการยกระดับความเป็นอยู่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนคนไทยติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลาง ต้องการยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้สูงขึ้น

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ แต่ไม่ได้ดึงศักยภาพที่มีของทั้งประเทศมาใช้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา การพัฒนาพัฒนาบุคลากร และระบบภูมิศาสตร์ ซึ่งเราตั้งอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยในสถานการณ์ความขัดแย้ง รัฐบาลมีนโยบายชัดเจน คือ มีความเป็นกลาง ต้องการยืนอยู่ในความขัดแย้งอย่างมีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี ยึดมั่นกับความสงบ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่บนความขัดแย้ง ย่อมมีโอกาสที่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์