จากกรณีเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งรับฟ้องคดี หมายเลขคดีดำ ที่ อ.1659/2564 กรณี ‘บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)’ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ‘รังสิมันต์ โรม’ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
สืบเนื่องจากการวันที่ 3 ก.ย.2564 รังสิมันต์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประเด็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มนายทุนกรณีดาวเทียมไทยคม และได้พาดพิงถึง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้บริษัท กัลฟ์ ยังฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่ง เป็นเงิน 100 ล้านบาท โดยศาลนัดสอบคำให้การของจำเลยในวันที่ 10 ตุลาคมนี้
ด้าน ‘รังสิมันต์’ เปิดเผยกับ ‘วอยซ์’ ว่าในส่วนของคดีนอกจากที่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว ยังมีการฟ้องร้องพรรคก้าวไกล สำหรับข้อกังวลนั้นหลังจากได้อ่านรายละเอียดคำฟ้อง ส่วนตัวมองว่าเป็นการเข้าใจผิดในหลายประเด็น เมื่อดูถ้อยคำที่อ้างว่าตนหมิ่นประมาทและสร้างความเสียหาย ตนคิดว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิดข้อกฎหมาย
“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าในการต่อสู้คดี เราสามารถที่จะพิสูจน์ในศาลได้ จริงๆกรณีของบริษัทกัลฟ์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคุณชัยวุฒิ ถ้าไปดูในรายละเอียดจะพบว่าผมเน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่มันเกิดขึ้นเกิดจากการทุจริต สมรู้ร่วมคิดของชัยวุฒิ ดังนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่ากรณีนี้ไม่มันไม่น่าจะนำไปสู่การดำเนินคดีกับผมได้ ถามว่ากังวลไหมส่วนตัวก็คงไม่กังวลอะไร” รังสิมันต์ กล่าวถึงการต่อสู้ทางคดี
ต่อคำถามว่าคดีความดังกล่าวจะกลายเป็นมาตรฐานให้ ส.ส.หลีกเลี่ยงการอภิปรายประเด็นเหล่า เพื่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องหรือไม่ ‘รังสิมันต์’ มองว่าการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐมนตรีไม่สามารถทำคนเดียวได้ ซึ่งอาจจะมีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้หลายคนไม่กล้าพูดในสภาฯ เพราะกังวลว่าจะถูกดำเนินคดี
“อย่างผมมันเจอมาเยอะ ดังนั้นถ้าจะเจออีกคดีสองคดีก็เป็นเรื่องที่รับมือได้ บางคนไม่เคยผ่านประสบการณ์ตรงนี้อาจจะรับมือได้ยากกว่า มันก็จะนำไปสู่การเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่พูดออกมาทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้อง แค่ลำพังพูดไม่ให้ถูกประท้วงในสภาฯก็เหนื่อยแล้ว ต้องมานั่งป้องกันว่าจะถูกคนภายนอกฟ้องหรือเปล่า ซึ่งการทำแบบนี้มันก็ทำให้เราทำหน้าที่ในสภาอย่างยากลำบาก”