9 ก.พ.2563 หลังจากศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวคดี 112 และ 116 จำนวน 4 คน ประกอบด้วย อานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ ‘หมอลำแบงค์’ เพจราษฎรได้ประกาศนัดรวมตัวทันทีบริเวณสกายวอล์คปทุมวัน โดยเวลาประมาณ 19.00 น. มีประชาชนเดินทางมารวมกันในบริเวณดังกล่าวประมาณ 50 คนก่อนจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นราว 200-300 คน
ไบรท์ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง กลุ่มคนรุ่นใหม่นนทบุรี แนวร่วมกลุ่มราษฎรได้เดินทางมายังที่ชุมนุมพร้อมกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ล้าหลัง และไม่เป็นที่ยอมรับจากสากลดังที่สหประชาชาติออกมาระบุว่ามาตรา 112 ไม่ควรมีอยู่ในประเทศประชาธิปไตย พร้อมเรียกร้องให้รัฐปล่อยผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 คน ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ประชาชนผู้รักความถูกต้อง รักประชาธิปไตย ออกมาร่วมกันต่อสู้อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณที่ชุมนุมมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบตัดผมสั้นเกรียนหลายคนปะปนอยู่กับประชาชนคอยบันทึกภาพนิ่งและบันทึกวีดิโอผู้ชุมนุม ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบซึ่งมาประจำการบริเวณสกายวอล์คก่อนหน้านี้ประมาณ 10 นายได้ถอนตัวออกจากพื้นที่ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะเริ่มทำกิจกรรม สำหรับการรวมตัวครั้งนี้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้นำหม้อมาเคาะ เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านความอยุติธรรมที่เกิดด้วย
ธัชพงศ์ แกดำ กลุ่มราษฎร กล่าวว่า การมารวมตัวในครั้งนี้เป็นการทำให้ผู้มีอำนาจรัฐได้เห็นว่าการจับทั้ง 4 คนไปคุมขังในเรือนจำนั้นไม่สามารถหยุดยั้งการเคลื่อนไหวได้ และในวันพรุ่งนี้จะมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีกหลายที่ทั่วประเทศ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ควรออกมายืนเคียงข้างกับประชาชน ไม่ใช่มองเห็นประชาชนเป็นศัตรู ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะต้องออกมาเรียกร้อง ไม่ใช่เพียงเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้ถูกสั่งขังระหว่างการพิจารณาคดีเท่านั้น แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์โควิด รัฐบาลไม่ได้เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เกิดปัญหาปากท้องตามมา ฉะนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะต้องออกมาขับไล่ ต่อจากนี้ประชาชนจะออกมาแสดงพลังให้มากที่สุด เพื่อแสดงให้รู้ว่าถึงเวลานับถอยหลังของชนชั้นนำไทยแล้ว ต่อจากนี้ไปประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม
เวลาประมาณ 20.10 น. เจ้าหน้าตำรวจในเครื่องแบบประมาณ 10 นาย เดินทางเข้ามาในบริเวณจุดที่กลุ่มราษฎรชุมนุมอยู่เพื่อประกาศให้ยุติการชุมนุมที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แต่กลุ่มผู้ชุมนุมได้กรูกันเข้าไปกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใกล้จุดที่มีการปราศรัยมากเกินไป พร้อมทั้งตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่ ก่อนจะผลักดันเจ้าหน้าที่จนต้องถอยเข้าไปในห้างมาบุญครอง ขณะเดียวกันมีมวลชนจำนวนหนึ่งพยายามที่จะป้องกันไม่ให้มีการเข้าไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
เวลาประมาณ 20.40 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ 5 นาย เดินเข้ามาบริเวณพื้นที่ชุมนุมอีกครั้ง แต่ก็ถูกมวลชนขับไล่ออกไปจากพื้นที่ โดยตะโกนว่า “ขี้ข้าเผด็จการ”
รศ.ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมาสังเกตการณ์การชุมนุม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคลื่นความเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในฮ่องกงเรื่อยมาจนถึงประเทศไทยและเมียนมาว่า เป็นการส่งอิทธิพลและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในมิติของประชาชน อย่างไรก็ดี จากท่าทีเงียบเชียบของอาเซียนต่อการรัฐประหารในเมียนมาทำให้คาดหวังการกดดันของภูมิภาคเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยได้ยาก ซ้ำร้ายรากเหง้าความเป็นเผด็จการในภูมิภาคนี้ยังมีความแข็งแรงอยู่มาก จนอาจกล่าวได้ว่าความหวังที่จะเป็น 'อาเซียนสปริง' เหมือนกรณีอาหรับสปริงจะเป็นหนังคนละม้วน
"มันจะเป็นอาเซียนสปริงแบบเผด็จการร่วมมือปราบปรามประชาชนมากกว่า" ยุกติกล่าว
ยุกติกล่าวด้วยว่า ไม่แน่ใจว่าการกดดันจากมหาอำนาจระดับโลกหรือองค์กรระหว่างประเทศจะมีน้ำหนักแค่ไหนในภาวะที่โลกไม่ได้มีมหาอำนาจโดดเด่นเหมือนเดิมแล้ว ดังนั้นเราอาจต้องกลับไปหวังกับการให้กำลังใจและเรียนรู้ร่วมกันของคนในอาเซียนด้วยกันเอง
รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล กล่าวผ่านเครื่องขยายเสียงว่า การจับ 4 คนเข้าคุกครั้งนี้ไม่ใช้การฝากขัง แต่เป็นการขังระหว่างพิจารณาคดีซึ่งไม่มีกำหนดเวลาว่าพวกเขาจะได้ออกมา และในวันที่ 17 ก.พ.นี้เธอก็มีนัดพบอัยการเพื่อนำตัวไปส่งศาล ซึ่งคาดว่าในวันนั้นเธอก็จะถูกขังด้วยเช่นกัน ถามว่าการแสดงความคิดเห็นของพวกเรานั้นผิดอย่างไร พวกเราแต่ออกมาพูด หากไม่อยากให้คนพูดก็มาเย็บปากประชาชนให้หมดประเทศไปเลย จะได้ไม่ต้องมีใครพูด
ปนัสยากล่าวว่า การที่ทุกคนออกมา เพราะทุกคนมีความหวังว่าประเทศเราจะพัฒนา คนจนจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ชนชั้นนำไม่เคยเห็นใจประชาชนบ้างหรืออย่างไร ขอให้ศาลไตร่ตรองคำสั่งขังระหว่างพิจารณาคดีว่า คิดรอบคอบแล้วหรือไม่ อยากให้สถาบันตุลาการช่วยทำให้ทุกอย่างกลับมาถูกต้อง ไม่เห็นหรือว่าตอนจับคนเข้าคุกเมื่อปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีคนออกมาชุมนุมมาแค่ไหน อย่ากดดันให้ประชาชนไร้หนทาง ตอนนี้ยังมีเวลาที่ทุกฝ่ายยังสามารถตกลงเพื่อการปฏิรูปได้
จากนั้นปนัสยาประกาศยุติการชุมนุมในเวลา 20.55 น.พร้อมเปิดเพลง ‘บทเพลงของสามัญชน’ และขอให้ประชาชนกลับบ้านอย่างปลอดภัยพักผ่อนเก็บแรงไว้ออกมาชุมนุมกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (10 ก.พ.)