นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้การต้อนรับ ฯพณฯ อิลเซ ลิเลียน เฟร์เรร์ ซิลบา (H.E. Mrs. Ilse Lilian Ferrer Silva) เอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 โดยมีนายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีฯ และนายต้น ณ ระนอง คณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมหารือด้วย 

ในการหารือครั้งนี้ ทางด้านรัฐมนตรีฯ สรวงศ์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของวาระอันเป็นมงคลครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเม็กซิโกและประเทศไทยในปี 2568 โดยกล่าวว่า "นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงมิตรภาพอันยาวนานและความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ ซึ่งกระทรวงฯ ยินดีอย่างยิ่ง ที่จะสนับสนุนการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองของสถานเอกอัครราชทูตฯ ผ่านมิติด้านการท่องเที่ยว กีฬา อาหาร และวัฒนธรรม" 

ทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวที่เป็นไปได้ระหว่างไทยและเม็กซิโก ซึ่งเอกอัครราชทูตเม็กซิโก ได้แจ้งความประสงค์ที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวร่วมกับกระทรวงฯ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในด้านการท่องเที่ยวและการบริการ อาทิ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การฝึกอบรมบุคลากรทั้งในระดับนักเรียน นักศึกษา และผู้เชี่ยวชาญ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) รวมถึงการร่วมกันส่งเสริม Gastronomy Tourism ระหว่างเชฟอาหารของทั้งสองประเทศ พร้อมผลักดันให้เกิดการลงนามในโอกาสวาระฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ฯ ภายในปี 2568 

เอกอัครราชทูตฯ ยังได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาสำหรับการสนับสนุนและพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดี พร้อมกล่าวเชิญ รมว.กก. เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันชาติเม็กซิโกในโอกาสพิเศษครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้ด้วย

รมว.กก. กล่าวปิดท้ายว่า "การหารือในวันนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่ไม่เพียงส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม อันจะนำไปสู่ความร่วมมือที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศในระยะยาวต่อไป"