วันที่ 22 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า โดยสรุปเป็นการทำประชามติ 3 ครั้ง และคำถามเป็นคำถามที่คณะกรรมการเสนอขึ้นมาคือ ไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ตามนโยบายรัฐบาล โดยไม่รอแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ เพราะเกรงจะถูกครหาว่าเตะถ่วง แต่ได้มีการเน้นย้ำไปทาง ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้มีการเร่งรัดไปแล้ว 

นิกร กล่าวอีกว่า การทำประชามติครั้งที่ 1 จะยึดกฎหมายประชามติฉบับเดิม และที่ตั้งใจไว้คือ ในการทำประชามติครั้งที่ 2 ตาม ม.256 จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง นายก อบจ. และการลงคะแนนจะจัดให้มีหน่วยลงคะแนนเหมือนการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แต่ครั้งแรกเป็นสภาพบังคับต้องใช้ตาม พ.ร.บ.ประชามติ เดิมที่มีอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบไป รวมถึงพรุ่งนี้ตนก็จะมาเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย 

ส่วนคำถามในการทำประชามติที่ถูกมองว่า รัฐบาลมัดมือชกนั้น นิกร ยืนยันว่า คำถามการทำประชามติเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่คำถามประชามติที่เกิดโดยรัฐสภา แต่เกิดจากรัฐบาลเป็นคนถาม ซึ่งเป็นเรื่องที่แถลงไว้อยู่แล้วก็ต้องชัดเจน ถือเป็นสิทธิของ ครม. ที่ต้องทำตามนี้ 

สำหรับกระบวนการหลังจากการทำประชามติ นิกร กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องดำเนินตาม พ.ร.บ.ประชามติ คือส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คือไม่น้อยกว่า 90 วัน และไม่มากกว่า 120 วัน เชื่อว่า ทุกอย่างคงเดินหน้าต่อไป เพราะไม่มีการถกเถียงในสภาฯ ถึงจำนวนครั้งในการทำประชามติแล้ว ดังนั้นจึงต้องเริ่มการทำประชามติครั้งที่ 1 ไม่อย่างนั้นจะหาว่า เตะถ่วง ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นพ้องต้องกัน ถือเป็นนโยบายที่จะแก้ไขร่วมกันในนามของรัฐบาล