ไม่พบผลการค้นหา
'นายกฯ หญิงคนใหม่ของเดนมาร์ก' เป็น 'หญิงแกร่ง' อย่างแท้จริง เพราะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว-ลูก 2 ไม่ใช่ผู้ดีเก่าหรือเศรษฐี แต่เคยทำงานเป็น 'เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องทุกข์' จึงมองเห็นปัญหาร้อยแปดพันเก้าในชีวิตชนชั้นแรงงาน และตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเพื่อช่วยคนเหล่านี้

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน นางสาว เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น (Mette Frederiksen) หัวหน้าพรรคโซเชี่ยลเดโมแครตซึ่งชนะการเลือกตั้งที่จัดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน ได้นำคณะรัฐมนตรีที่เธอจัดตั้งขึ้น 19 คน เข้าพิธีเข้าเฝ้าแนะนำตัวต่อสมเด็จพระบรมราชินีนาถมาร์เกรเธอที่สอง องค์ประมุขแห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นพิธีที่ทำให้ เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเดนมาร์กอย่างเป็นทางการ และคณะรัฐมนตรีที่เธอตั้งขึ้นได้เป็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของเดนมาร์กอย่างเป็นทางการ 

เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1977 ปัจจุบันอายุ 41 ปี ซึ่งถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเดนมาร์ก และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเดนมาร์ก คือ เฮลล์ ธอร์นิ่ง ชมิดท์ (Helle Thorning-Schmidt) ผู้ดำรงตำแหน่งระหว่าง ค.ศ.2011 ถึง 2015 ก็มาจากพรรคโซเชี่ยลเดโมแครตเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายแบบซ้ายกลาง กล่าวคือ ไม่ใช่พวกขวาจัดอนุรักษ์นิยมจัด ไม่เอาใจหรือพิทักษ์ประโยชน์พวกนายทุนและชนชั้นสูง แต่ก็ไม่หักหาญเป็นอริแบบพวกซ้ายจัด มุ่งเน้นนโยบายหลักคือให้ความสำคัญกับชนชั้นแรงงาน ให้ความสำคัญกับนโยบายปรับปรุงการให้สวัสดิการรัฐแก่ประชาชนโดยเฉพาะคนชั้นล่าง 

นอกจากนี้ เธอยังสร้างความฮือฮามากเป็นพิเศษตรงที่เธอเป็นผู้หญิงแกร่งอย่างแท้จริงในชีวิตส่วนตัวด้วย เพราะเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ลูก 2

เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น เกิดในครอบครัวชนชั้นล่าง ไม่ใช่ผู้ดีเก่าหรือเศรษฐี บิดาของเธอทำงานเป็นช่างเรียงพิมพ์ในโรงพิมพ์ ส่วนมารดาเป็นครูโรงเรียนประถมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทั้งสองมีรายได้น้อย จัดว่าเป็นครอบครัวที่ยากจน การที่เห็นพ่อแม่ทำงานหนักเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว ทำให้เธอมีความมุ่งมั่นตั้งแต่เยาว์วัยที่จะเปลี่ยนสังคมให้กลายเป็นสังคมที่ชนชั้นล่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เธอไม่ได้เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเก่าแก่หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยธรรมดาๆ เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เธอเลือกเรียนด้านสังคมศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เมื่อเรียนจบก็ทำงานในองค์กรสหภาพแรงงานของเดนมาร์กซึ่งเป็นองค์กรที่มีสมาชิกมากกว่าล้านคน เธอทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องทุกข์จากชนชั้นแรงงานที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกขององค์กรนี้ ได้เห็นความทุกข์ยากและปัญหาร้อยแปดพันเก้าในชีวิตของชนชั้นแรงงาน และทำให้เธอตัดสินใจเข้าสู่การเมือง เพราะหวังว่าจะช่วยเหลือชนชั้นแรงงานได้มากขึ้น

เธอเริ่มเข้าสู่การเมืองครั้งแรกในปี ค.ศ. 2001 ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลในกรุงโคเปนเฮเกน แล้วดำรงตำแหน่งเป็นโฆษกของพรรคโซเชี่ยลเดโมแครต โดยทำหน้าที่เป็นโฆษกพรรคด้านกิจการวัฒนธรรม สื่อมวลชน และ ความเท่าเทียมทางเพศ 

ด้วยความที่เธอมีบุคลิกภาพที่โดดเด่น ดูเป็นคนรุ่นใหม่อายุน้อยที่มุ่งมั่น เข้มแข็ง ขึ้นชื่อเรื่องการมีสติปัญญาเฉียบแหลม และมีฝีปากเป็นเลิศ ทั้งในการวิพากษ์ โต้เถียง และให้สัมภาษณ์ เธอไม่ใช่นักการเมืองหญิงสายหวาน แต่เป็นสายหน้านิ่งและดุดัน อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานอย่างมาก ทำให้เธอก้าวหน้าในเส้นทางการเมืองอย่างรวดเร็ว คือ ในปี ค.ศ. 2011 เธอได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ของรัฐบาล ที่มีนางเฮลล์ ธอร์นิ่ง ชมิดท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และในปี ค.ศ. 2014 เธอก็กลายเป็นหัวหน้าพรรคโซเชี่ยลเดโมแครต แทนที่อดีตนายกรัฐมนตรีเฮลล์ ธอร์นิ่ง ชมิดท์ จนสามารถนำพรรคคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งปีนี้ แล้วก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ดี จุดยืนของ เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น ในบางประเด็น ทำให้ฝ่ายเสรีนิยมและบรรดานักส่งเสริมสิทธิมนุษยชนกระอักกระอ่วนใจ เช่น เรื่องโสเภณี และ เรื่องการรับผู้อพยพ 

ทั้งนี้ เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น ต่อต้านโสเภณีและการซื้อขายบริการทางเพศ และต้องการให้เดนมาร์กออกกฎหมายห้ามการค้าประเวณีโดยสิ้นเชิง แต่อาชีพโสเภณีและการค้าบริการทางเพศของปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายของเดนมาร์กและมีการเสียภาษี ในขณะที่สิ่งที่ผิดกฎหมายเดนมาร์ก ได้แก่ การตั้งซ่องหรือสถานบริการทางเพศที่มีบุคคลอื่นหาผลประโยชน์จากการค้าบริการของหญิงหรือชายที่ค้าบริการทางเพศ การค้ามนุษย์ และการซื้อบริการทางเพศจากเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี

นอกจากนี้ เธอยังมีจุดยืนที่จะดำเนินนโยบายเข้มงวดต่อการรับผู้ลี้ภัยจากนอกประเทศ ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน 2018 เธอให้ความเห็นว่าวัฒนธรรมมุสลิมเป็นอุปสรรคสำคัญในการบูรณาการผู้ลี้ภัยให้เป็นส่วนหนึ่งในสังคมเดนมาร์ก เพราะวัฒนธรรมมุสลิมบางข้อขัดต่อระบบกฎหมายและข้อปฏิบัติด้านความมั่นคงของเดนมาร์ก การให้ความเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศห้ามสตรีมุสลิมสวม “บูรกา” (Burka) ในที่สาธารณะ ซึ่งบูรกาคือผ้าคลุมยาวที่คลุมทั้งใบหน้าและร่างกาย โดยมีช่องที่เป็นตาข่ายหรือผ้าบางๆ ตรงดวงตา เพื่อให้ผู้สวมมองเห็นเท่านั้น เพราะล่อแหลมต่อการที่จะถูกผู้ก่อการร้ายและอาชญากรนำไปใช้ในการอำพรางตนและอาวุธ

ต่อมาในต้นปี ค.ศ. 2019 ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เธอก็หาเสียงโดยยืนยันนโยบายเข้มงวดต่อการรับผู้ลี้ภัยจากนอกประเทศ ด้วยเหตุผลที่ว่าการรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศส่งผลกระทบต่อชนชั้นแรงงานอย่างหนัก เพราะนายจ้างหันไปใช้แรงงานผู้ลี้ภัยแทนแรงงานในประเทศ และประกาศว่าต้องการส่งตัวผู้ลี้ภัยไปอาศัยนอกสหภาพยุโรป เช่น ตั้งศูนย์รองรับในแถบตอนเหนือของทวีปแอฟริกา จึงมีเสียงวิจารณ์ว่า เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น มีทัศนะและนโยบายที่ซ้ายหลายเรื่อง แต่ก็ขวาจัดในหลายเรื่อง ไม่ได้เป็นแนวซ้ายกลางของพรรคโซเชี่ยลเดโมแครตที่เธอสังกัดด้วยซ้ำ

ต้องจับตาดูกันต่อไปว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเดนมาร์กผู้นี้ จะนำเดนมาร์กไปสู่การมีนโยบายแบบใด 

ภาพ: เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น (ซ้าย) สมัยยังดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงมหาดไทยของเดนมาร์ก เดินทางเยือนฝรั่งเศสเพื่อพบกับแบร์นาร์ด กัซเนิฟ (ขวา) รมว.กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสเมื่อปี 2015