ไม่พบผลการค้นหา
วงเสวนา 'ซ้อมทรมาน-อุ้มหาย' ชี้ รัฐก่อให้เกิดความรุนแรงหลายระดับ 'ชญานิษฐ์' แนะต้องมีกระบวนการสืบหาความจริง 'โมฮำหมัด' เผย ถูก จนท.รัฐคุกคาม ปมอับดุลเลาะ ด้าน 'ณัฐวุฒิ' ส.ส. กก. เชื่อ รัฐพยายามกลบความจริง

วันที่ 8 ต.ค. 2565 ที่กินใจ คอนเทมโพรารี (Kinjai Contemporary) ในงานเสวนาซ้อมทรมาน (อุ้ม) หาย ความรุนแรงโดยรัฐ และความต้องการของผู้เสียหาย โดยโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลา ร่วมกับคณะก้าวหน้า และ Common School ร่วมเสวนาโดย โมฮำมัดรอฮมัด มามุ พี่ชายของอับดุลเลาะ อีซอมูซอ, วัฒนชัย วินิจจะกูล, ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และดำเนินรายการโดย นวลน้อย ธรรมเสถียร ผู้สื่อข่าวอิสระ 

วัฒนชัย กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดขอแบ่งแยกเป็น 3 ส่วน คือ ''ความรุนแรงทางตรง'' เป็นความรุนแรงที่มนุษย์มีความรุนแรงต่อกัน ซึ่งเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ก็เป็นเช่นนั้น เกิดจากอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน ความเหลื่อมล้ำ นโยบายสาธารณะไม่ได้เอื้อให้คนทุกกลุ่มเท่าเทียมกัน

553338.jpg

ต่อมาคือ ''ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง" จากการใช้อำนาจของรัฐที่มีการถูกแบ่งอำนาจอย่างชัดเจน การเลือกปฏิบัติจากรัฐ และนี่คือการทำงานในรูปแบบที่ไม่ได้ตรงไปตรงมา สุดท้ายคือ "ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม" ที่เกิดจากวิธีคิด ความคิด ความเชื่อของคน ก็ทำให้เกิดความรุนแรงได้เช่นกัน 

"คนที่ก่อความรุนแรงคงไม่พ้นรัฐ และผู้มีอำนาจ ความรุนแรงทางวัฒนธรรมและความรุนแรงเชิงโครงสร้างจะเกิดขึ้นเลยไม่ได้ ซึ่งมีผลมาจากการความรุนแรงทางตรงที่สั่งสมไว้" วัฒนชัย ระบุ


การเยียวยาที่ว่างเปล่า ความสูญเสียที่เป็นเงาตามติดตัว 

ชญานิษฐ์ กล่าวว่า ความรุนแรงโดยรัฐมีหลายรูปแบบ เช่นเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ หรือตากใบ ที่เห็นชัดว่าเป็นความตาย ต่างจากการอุ้มหายซ้อมทรมาน ที่ค่อยๆ สะสมแล้วหายไปเรื่อยๆ ถามว่า ทำไมถึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเกิดจาก 2 มิติ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ มิติแรกคือ เกี่ยวข้องกับเหยื่อผู้ได้รับผลกระทวจากความรุนแรงโดยรัฐ ญาติพี่น้อง สิ่งที่จะต้องนึกถึงคือการอำนวยความยุติธรรม และการเยียวยา ซึ่งการเยียวยาไม่ได้แปลว่ายุติธรรมแล้ว แต่การทำให้ความจริงปรากฎอาจเป็นการเยียวยาที่ดีกว่า

ชญานิษฐ์ กล่าวอีกว่า ปัจเจกบุคคล ทั้งคนทำและคนสั่ง ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดตวามรุนแรงโดยรัฐ ต้องทำยังไงให้ไม่เกิดขึ้นอีก รัฐไม่ใช่โครงสร้างกลวงๆ เปล่าๆ แต่ประกอบด้วยคนมากมาย ทั้งปัจเจก และองค์กร รัฐคิดอย่างมีเหตุผลว่า จะเสียไปแล้วได้อะไรมา ซึ่งรัฐไม่เคยมีอะไรต้องเสียเลยสักนิด 

ชญานิษฐ์ ยังกล่าวถึงปัญหาดังกล่าวอีกว่า ไม่เคยมีการรับโทษทางกฎหมาย ความรุนแรงโดยรัฐจำนวนมากไม่ผิดกฎหมาย เพราะมีการใช้กฎหมายพิเศษ สภาพยกเว้นสำหรับนิติธรรม

เอื้ออำนวยให้รัฐทำโดยที่ไม่ถูกตรวจสอบ และทำต่อเนื่องเรื่อยๆ อีกทั้งเหยื่อไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่แล้ว หลักฐานแทบไม่มี แทบไม่มีใครในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักที่ถูกคุกคามหรือได้รับความรุนแรงโดยรัฐเลย 

ชญานิษฐ์ เสริมว่า ต่อให้ไม่มีการลงโทษทางกฎหมาย ถ้าสั่งการหรือทำประชาชน ต้องทำความจริงให้ปรากฎ มีคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง แม้ไม่นำไปสู่โทษทางกฎหมายเสมอไป แต่สังคมย่อมรับรู้ได้

553335.jpg

"เขาอยากรู้ว่าคนที่เขารักชะตากรรมเป็นอย่างไร ต่อให้เสียชีวิตแล้วก็ยังอยากรู้ จะได้ยอมรับความจริงตรงนี้สักที การถูกอุ้มหายไม่ทิ้งหลักฐานให้เห็นมากนักในปัจจุบัน เจ็บปวดทรมานแบบไม่ทิ้งร่องรอยให้เห็น การเยียวยาที่มอบมา เงินเยียวยาที่ได้รับ เทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่ต้องเผชิญ" ชญานิษฐ์ กล่าว 


คุก-ค่าย-ความตาย และกฎหมาย ปัญหาเรื้อรังใน 3 จว.ชายแดนใต้ 

ด้าน โมฮำหมัด กล่าวในประเด็นนี้ว่า คนในพื้นที่มักจะพูดอยู่เสมอว่า คุณจะต่อสู้ทำไมกับอำนาจรัฐ ในเมื่อความยุติธรรมประเทศนี้ไม่เคยมี นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ตากใบ ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าความยุติธรรมไม่มีจริงๆ เพราะจากเหตุการณ์ล้อมปราม 6 ตุลาฯ จนถึงเหตุการณ์ตากใบ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายหลังจากเหตุการณ์ตากใบก็ยังเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งคนในจังหวัดปัตตานีเชื่ออยู่ตลอดว่า เจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่เคยยอมรับความเป็นอัตลักษณ์ความเป็นมาลายู หรือความเป็นคนปัตตานีเลย

โมฮำหมัด กล่าวต่อไปว่า รัฐออกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทำให้รัฐใช้อำนาจพิเศษได้อยู่เสมอ ซึ่งสามารถเชิญตัวใครก็ได้ ที่รัฐต้องสงสัย เฉกเช่น เหตุการณ์ของ อับดุลเลาะ อีซอมูซอ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และถูกควบคุมตัวก่อนหมดสติในค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี และเสียชีวิตในภายหลังด้วยอาการปอดอักเสบ

โมฮำหมัด กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่มีใครพอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาความจริง ทั้งส่งเรื่องให้กับกระบวนการของรัฐไทย เช่นการยื่นเรื่องให้นักการเมืองในสภาช่วย หรือแม้แต่การทำเรื่องให้ทางดีเอสไอช่วยเหลือ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาของหน่วยงานต่างๆ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ

ซึ่งตนเองเคยได้รับคำแนะนำจากคนที่มีความรู้เรื่องนิติวิทยาศาสตร์ ในเรื่องของอาการ ซึ่งก่อนหน้านี้ในขณะที่อับดุลเลาะ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลปัตตานี ก็มีเจ้าหน้าที่จากรัฐมากดดัน และข่มขู่อยู่ตลอด ในระหว่างที่ญาติเฝ้าไข้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมาตรวจทุกครั้งก่อนเข้าเยี่ยม และห้ามไม่ให้ถ่ายรูป และมีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่เสมอ ซึ่งอับดุลเลาะในตอนนั้นไม่รู้สึกตัว และไม่สามารถหนีไปได้ ทำให้ตนเอง และครอบครัวรู้สึกเหมือนถูกเจ้าภาครัฐกลั่นแกล้งมาโดยตลอด

โมฮำหมัด ระบุต่อว่า เรื่องของการซ้อมการทำร้ายในค่ายทหารมันมีมานานแล้ว ซึ่งคนที่เคยถูกควบคุมตัว แทบไม่จะไม่มีใครอยากพูดเรื่องนี้เพราะกระทบกระเทือนจิตใจ เรื่องของอับดุลเลาะ เป็นคดีแรกที่มีการไต่สวน พอศาลไต่สวนออกมา ทำให้รู้ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีปัญหา เพราะไม่มีการดำเนินการใดๆ มีเพียงแค่เอาหนังสือจากหมอที่ชันสูตรมาอ่าน แต่ไม่มีอะไรให้ความเป็นธรรมเพิ่มเติมได้เลย 

โมฮำหมัด กล่าวว่า ยอมรับว่าครอบครัวท้อ แต่ตนก็อยากจะสู้ต่อ ทั้งเรื่องอำนาจ และกฎหมายพิเศษที่ใช้มา 18 ปีแล้ว ก็ยังใช้อยู่ แม้จะเคยล่ารายชื่อยื่นไปก็ไม่เป็นผล ภาครัฐทำได้เพียงแค่เยียวยาด้วยเงิน 500,000 บาท 

"ที่ต่อสู้ไม่ได้ต้องการการเยียวยา แต่ต้องการความยุติธรรม เช่นการเข้าถึงกล้องวงจรปิด หรือกรรมการสิทธิให้ปรองดองยอมความกับทางเจ้าหน้าที่ ก็ทำให้ผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ก็ต้องสู้เรื่องกระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะ 3 จังหวัดไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ มันเอื้อให้เจ้าหน้าที่ไม่ใช่ประชาชน" โมฮำหมัด กล่าว 


ล้อมปราบเสื้อแดง '53 เมื่อรัฐมือเปื้อนเลือด แต่ไม่อาจเอาผิดทางกระบวนการ 

ขณะที่ ณัฐวุฒิ ให้ความเห็นว่า กรณีของคนเสื้อแดงที่ถูกล้อมปราบในปี 2553 มีลักษณะเฉพาะ ความรุนแรงในรัฐ หรืออาชญากรรมในรัฐ และสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ 

1.รัฐเป็นผู้สั่งการ หรือทำเอง

2.รัฐปล่อยให้ผู้อื่นเป็นผู้กระทำการ

3.รัฐปิดกั้นที่ไม่พิสูจน์ความจริง ปิดกั้นทำให้ลืม และสร้างความจดจำขึ้นใหม่

4.การใช้เครื่องมือในการจัดการความรุนแรงที่รัฐทำเสียเอง หรือการฟอกขาวให้ตัวเอง 

ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในปี 2553 วันนั้นกับวันนี้ การให้ความหมายอาจไม่เหมือนกัน แต่ คน ณ วันนั้นมองว่าเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง และทำเพื่อนักการเมืองคนใดคนหนึ่งหรือไม่ หรือการกล่าวหาว่าล้มล้างสถาบันฯ และมีคำหนึ่งที่รัฐใช้ร่วมกันแต่ความหมายไม่เหมือนกัน คือคำว่า "ไพร่" ประชาชนทำให้เห็นว่าไพร่ที่ถูกกดขี่ การกีดกันการเข้าถึงสิทธิ แต่รัฐเองก็เรียกว่าไพร่ บนพื้นฐานที่สูงกว่า แต่ทั้งนี้เขาไม่อยากถูกเรียกว่าวีรชน ไม่อยากได้รับการเยียวยา เพียงแต่เขาไม่อยากให้ลูกตาย 

ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ความรุนแรงจากรัฐจนถึงปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยน เพราะยังเป็นองคาพยพเดียวกัน จะทำให้พวกเราลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นได้อย่างไร โดย ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใช้เหตุผลว่าการทำร้ายกันเอง การใช้อาวุธสงครามของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ และเกิดจากการที่ประชาชนที่ไดรับผลกระทบจากการชุมนุม หรือเกิดจากการยิงสกัดผู้ชุมนุมที่พยามเข้ามายั่วยุทหารตำรวจ โดยยิงจากใต้เข่าซึ่งเจ้าหน้าที่มีความจำเป็น 

"ความเป็นรัฐทำผิดได้ไหม รับผิดชอบโดยไม่ต้องโทษคนอื่นผิดได้ไหม ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้น ชี้ให้เห็นว่า การเสียชีวิตนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐ ทั้งเรื่องการเบิกกระสุน และการชันสูตรพลิกศพว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ" ณัฐวุฒิ กล่าว 

ณัฐวุฒิ เสริมอีกว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอให้เดินหน้าสู่ความสมานฉันท์ แต่รายงานของ คปอ. ไม่ได้พิสูจน์ความจริงว่าเกิดจากการกระทำของรัฐอย่างไร อีกทั้งการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำตามอำนาจรัฐในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เลวร้ายไปกว่านั้น การต่อสู้ของคนรุ่นใหม่กับถูกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตัดสินว่าห้ามชุมนุมก้าวร้าว ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ควรถ่วงดุลอำนาจรัฐ เพราะประชาชนไม่มีอำนาจที่เท่าเทียมกับรัฐ

"อาชญากรรม หรือความรุนแรงโดยรัฐ มันไม่ใช่การก่อ แต่พยามกลบความจริง ซึ่งใครที่พยายามลุกขึ้นมาพูดก็จะถูกชะตากรรมเดียวกันในการโดนคดี" ณัฐวุฒิ ระบุ