ไม่พบผลการค้นหา
กลายเป็นปมร้อม เมื่อนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกโรงเปิดโปงพิรุธการลงมติ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ส่อเข้าข่ายเสียบบัตรแทนกัน ของ ฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ลามถึง นาที รัชกิจประการ ส.ส. บัญชีรายชื่อ ภูมิใจไทย

ต่อด้วย คลิปชัดๆ ของช่อง 7 เอชดี ช่วงเสียบบัตรมากกว่า 1 ใบ ของ สมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย และภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ก็ทำให้รัฐบาลประยุทธ์ออกอาการร้อนรน ส่ง วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย โร่ป้องทันควัน ฟันธงไม่ผิด ขณะที่วิปรัฐบาลทำทีขึงขังเข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

แต่อย่างไรก็ตาม ความเห็นของเนติบริกรนั้นไม่ใช่กฎหมาย ‘วอยซ์ ออนไลน์’ ขอย้อนดูคำวิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่วางแนวคำวินิจฉัยในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อการเสียบบัตรแทนกัน ดังนี้

ส.ว.ชงศาลรธน. ชี้ เสียบบัตรแทนกัน ร่างแก้รธน.โมฆะ

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 15-18/2556 ผู้ร้อง และพวก ยื่นคำร้องเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 56 คือ 1.การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ประเด็นที่มา ส.ว. สมาชิกรัฐสภาคนเดียวใช้บัตรลงคะแนนหลายใบ มีผลทำให้การประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวาระที่ 2 เป็นโมฆะทั้งหมด และ 2.มีคำสั่งหรือวินิจฉัยเพิกถอนมติที่ประชุมรัฐสภาทั้งสามวาระ และให้ระงับการประกาศใช้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 เนื่องจากพบส.ส.ใช้บัตรลงมติแทนผู้อื่น ในการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 11 และมาตรา 11/1 ในคราวเดียวกัน

พร้อมบรรยายรายละเอียดการเสียบบัตรแทนกัน ใจความว่า มีส.ส.นำบัตรแสดงตนคนอื่นมาเสียบบัตรกดปุ่มแสดงตนแทนส.ส.รายอื่นก่อนลงมติ ทั้งที่มีข้อเท็จจริงว่าผู้เป็นเจ้าของบัตรไม่ได้อยู่ในห้องประชุม ทำให้ผลการนับองค์ประชุมและผลการลงมติไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ถือเป็นการออกเสียงหรือลงมติเกินกว่าหนึ่งเสียง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 126 วรรคสาม และไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต และมิได้เป็นเพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 และ 126 วรรคสาม

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ

'รังสิมา' ยันบัตรสำรองห้ามเสียบซ้ำ - ขรก. รับเครื่องเวียนเทียนลงมติได้

ด้าน น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพยานฝ่ายผู้ร้องขึ้นเบิกความว่า ได้ต่อสู้และร้องเรียนเกี่ยวกับการที่ส.ส.ใช้บัตรลงมติแทนกันมาตลอด แต่ไม่เคยเป็นผล ก่อนที่จะเกิดเหตุในคลิปวีดิทัศน์ที่นำเป็นหลักฐาน โดยทราบว่า นายนริศร ทองธิราช อดีตส.ส. สกลนคร พรรคเพื่อไทย มีพฤติกรรมดังกล่าวจึงคอยติดตามตรวจสอบ ขอให้เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพ

"ระบบการยืนยันตนด้วยบัตรแสดงตนและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่องอ่านบัตรจะนำบัตรมาใช้กี่ใบก็ได้ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ช่องอ่านบัตรนั้นมีการใช้บัตรกี่ใบกี่ครั้ง หรือใช้บัตรใบอื่นในช่องเดิมหรือไม่ ถ้าเป็นบัตรของบุคคลเดียวกัน หากใช้บัตรของสมาชิกคนใดแล้วจะใช้บัตรสำรองของสมาชิกรายเดิมไม่ได้ เพราะเมื่อมีการใช้บัตรที่มีรหัสของบุคคลใดแล้ว ระบบจะไม่ให้นำบัตรสำร้องที่มีรหัสบุคคลเดิมมาใช้ซ้ำ"

ด้านพยานจากข้าราชการฝ่ายประจำ เบิกความสอดคล้องกันโดยระบุว่า หากสมาชิกรัฐสภาใส่บัตรเข้าไปแล้วกดลงคะแนนไปแล้วดึงบัตรออกมา และนำบัตรผู้อื่นใส่เข้า ในระบบสามารถทำได้ เว้นแต่เป็นบัตรของตนเองที่ใส่ไปแล้วและกดลงมติไปแล้ว แต่ผลในกรณีที่การใช้บัตรอื่นเข้าไปกดลงมติในลักษณะดังกล่าวจะส่งผลต่อกานับคะแนนหรือไม่นั้น ไม่ทราบ 

"เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในที่ประชุมรัฐสภานี้ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า เจ้าของบัตรเป็นคนกดบัตรลงมติด้วยตนเอง หรือสมาชิกคนอื่นกดแทน ในทางปฏิบัติหากสมาชิกใส่บัตรและกดบัตรลงคะแนนแล้วสับเปลี่ยนบัตรอื่นมาใส่ที่ช่องอ่านบัตรเดียวกันและลงคะแนนอีกในเวลาไล่เลี่ยกันต่อเนื่องกันก็สามารถกระทำได้ และระบบจะนับคะแนนให้ จนกว่าประธานในที่ประชุมจะสั่งปิ่นการนับคะแนน"

เสียบบัตร ศาลรัฐธรรมนูญ led.jpg

(คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556  )


พลังประชารัฐ ประชุมสภา_200108_0021.jpg

ศาลรธน. ฟันธง "ทุจริต" ขัดเอกสิทธิ์ 1 เสียง – ไม่ชอบด้วย รธน.

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การใช้อำนาจของสมาชิกรัฐสภา ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง มาตรา 126 วรรคสาม กำหนดหลักการสำคัญว่า สมาชิกรัฐสภาหนึ่งคนย่อมมีหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนน เว้นแต่คะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ย่อมเข้าใจได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่นั้น การแสดงตนและการออกเสียงลงคะแนนเป็นเรื่องเฉพาะตัวของสมาชิกรัฐสภาแต่ละครั้งด้วยตนเอง การกระทำที่เป็นเหตุให้ผลการลงคะแนนผิดไปจากความจริง ย่อมไม่ชอบและขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

"เห็นได้ว่า การกระทำเช่นมีลักษณะที่ผิดปกติวิสัยและมีสมาชิกรัฐสภาใช้บัตรแสดงตนและออกเสียงลงคะแนนในระบบอิเล็กทรอนิกส์หลายใบ มีสมาชิกรัฐสภาหลายรายมิได้ออกเสียงลงมติในที่ประชุม แต่ได้มอบให้สมาชิกรัฐสภาบางรายใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนแทน การดำเนินการดังกล่าวนอกจากเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของสมาชิกรัฐสภา ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือการครอบงำใดๆ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามมาตรา 122 ขัดหลักความซื่อสัตย์ที่ปฏิญาณตนในมาตรา 123 และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรคสาม มีผลให้การออกเสียงลงคะแนนเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริต มิอาจถือว่าเป็นมติที่ชอบของรัฐสภาในกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ"

บรรดทัดฐานเดิมชี้ซ้ำ ตีต กกฎหมาย 2 ล้านล้าน

เช่นเดียวกับ คำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพวกเป็นผู้ร้องในลักษณะเดียวกันคือพบส.ส.เสียบัตรแทนกันในการลงมติ ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... (พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท) ของส.ส. ในวาระที่สอง เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2556 ที่พบ นายนริศร เสียบบัตรแสดงตนและลงคะแนนแทนผู้อื่น ซึ่งมีน.ส.รังสิมาเป็นพยานเบิกความเช่นเดียวกัน

 ซึ่งคำวินิจฉัย ระบุว่า ขอโต้แย้งของนายนริศร ว่า มีบัตรหลายบัตรทั้งบัตรจริงและบัตรสำรอง ข้อเท็จจริงในทางไต่สวนปรากฏว่า ส.ส.แต่ละคนจะบัตรจริงโดยมีรูปเจ้าของบัตร 1 ใบ และบัตรสำรองไม่มีรูปเจ้าของบัตร 1 ใบ แต่ภาพที่ปรากฏในคลิป บัตรที่นายนริศร เสียบในเคลื่องอ่านบัตรและกดบัตรแสดงตนหรือลงมติมีรูปภาพปรากฏทุกบัตร การกล่าวอ้างของนายนริศรเป็นพฤติกรรมไม่มีเหตุผล ผิดวิสัยผู้แทนปวงชนชาวไทย ข้อกล่าวอ้างมิอาจรับฟังได้

"การดำเนินการดังกล่าวนอกจากเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของสมาชิกรัฐสภา ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือการครอบงำใดๆ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามมาตรา 122 ขัดหลักความซื่อสัตย์ที่ปฏิญาณตนในมาตรา 123 และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรคสาม มีผลให้การออกเสียงลงคะแนนเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจจริต...เมื่อกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงว่า มติของส.ส.ในกระบวนการตราร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีผลให้ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรับธรรมนูญนี้"

นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ

ป.ป.ช. ลงดาบ พ่วงฟันอาญา

จากคำวินิจฉัยทั้ง 2 กรณีข้างต้น จริงอยู่ที่ประเด็นร้องเรียนนั้น มีคำร้องอื่นๆ ประกอบด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นการเสียบบัตรแทนกัน คือ หลักใหญ่ใจความที่ได้รับการวินิจฉัย อันเป็นเหตุให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 122 มาตรา 123 และ 126 วรรคสาม ซึ่งเมื่อทำการเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว จะพบว่า เนื้อหาและถ้อยความของทั้ง 3 มาตรา ของรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ก็ถูกบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในมาตรา 114 115 และ 120 นอกจากนี้ อดีตส.ส.เพื่อไทย ยังถูกชี้มูลความผิดโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 123 และ 123/1 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

จึงต้องติดตามกันต่อไปว่า บทสรุปจะเป็นอย่างไร ร่างพ.ร.บงบประมาณรายจ่ายปี 2563 และบรรดา ส.ส.ของนายกฯอิเหนา จะถูกดำเนินการด้วยมาตรฐานเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง