คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า วิกฤติรอบ2 มีแน่ๆ แต่อาจจะไม่ใช่ “COVID” แต่เป็น “เศรษฐกิจ” โดยสถาบันการเงินต่างๆ ได้ออกมาปรับตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยใหม่ เช่น บลจ. ภัทร คาดว่าจะติดลบร้อยละ 9 ธนาคารCINB คาดว่าจะติดลบร้อยละ 8.9 ธนาคารกรุงไทย คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 8.8 และในไตรมาส 2 มีโอกาสขยายตัวติดลบถึงร้อยละ 14
ขณะที่รายได้จากท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาท. ปริมาณการค้าโลกอาจหดตัวถึงร้อยละ 10-30 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศมีสัดส่วนถึงร้อยละ 37 ของมูลราคายอดขายในอุตสาหกรรมไทย
แปลว่าสภาพเศรษฐกิจจากนี้จะสาหัสมากขึ้น เงินกู้ 1 ล้านล้านจึงเป็นเสมือน น้ำมันถังสุดท้ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ถ้ารัฐบาลไม่สามารถใช้เงินกู้ก้อนนี้สตาร์ทเครื่องยนต์ประเทศไทยให้ติดได้ เศรษฐกิจไทยจะทรุดหนัก พี่น้องชาวไทยจะทุกข์ยากอีกยาวนาน
สิ่งที่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีควรทำอย่างเร่งด่วนคือ การกำหนดทิศทางการใช้เงินกู้ โดยเฉพาะก้อน 400,000 ล้าน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้มีประสิทธิภาพต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง คือทำให้เกิดการจ้างงานและก่อให้เกิดรายได้ใหม่ในพื้นที่
โดยเฉพาะการใส่เม็ดเงินลงไปเพื่อ
1) เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำเร่งด่วน
2) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว ว่าเที่ยวเมืองไทยปลอดโรค ปลอดภัย เพราะการท่องเที่ยวเป็นรายได้ที่เข้ามาได้ทันที่
3) เพื่อเพิ่มศักยภาพเกษตรกรไทย ให้สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อให้ไทยเป็น”ศูนย์กลางผลิตอาหารปลอดภัย” ป้อนประชากรโลก ที่ความต้องการอาหารปลอดภัยของคนทั้งโลกจะเพิ่มมากขึ้นหลังวิกฤติCOVID
ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทยที่มีฐานการผลิตด้านการเกษตรอยู่แล้ว
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรี กำลังทำกับเงินกู้ก้อนโตก้อนแล้ว ต้องบอกว่าหนักใจและเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะเป็นการโยนเงินกู้ก้อนมหึมาลงไปให้หน่วยงานเสนอโครงการมาแบบไร้ทิศทาง สะเปะสะปะ เช่นทำถนนกว่าหมื่นโครงการ แต่โครงการแก้ปัญหาว่างงานมีแค่ 4 โครงการ โครงการแก้จน มีแค่8โครงการ
ตอบไม่ได้ว่าจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร เป็นการเอาเงินกู้จำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นหนี้ของประชาชนไปถลุงแจกหน่วยงานต่างๆแบบแบ่งเค้กกันกิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :