ไม่พบผลการค้นหา
‘วราวุธ’ ยืนยันสนับสนุน ‘ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ฉบับรัฐบาลแน่ หลังนำเข้าสภาแล้ว ชี้เป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมให้คนทุกกลุ่ม

วันที่ 21 ธ.ค. วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงกรณีที่ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา หลังผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในฐานะที่ตนดูแลกระทรวงพัฒนาสังคมฯ มองว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคมให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกสถานะและทุกวัย ดังนั้นเห็นด้วยกับร่างฯของรัฐบาลในการเข้าสู่การของสภา 

พร้อมยืนยันว่า พรรคชาติไทยพัฒนาสนับสนุนแน่นอน และการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ก็จะมีตัวแทนตัวแทนของพรรคชาติไทยพัฒนา และกระทรวง พม.เข้าไปร่วมด้วย


หนุนสภา ถกเคาะงบ 67 ช่วง 3-5 ม.ค.

วราวุธ กล่าวถึงกรณีที่ ชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้นำฝ่ายค้าน ประกาศจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ภายหลังได้รับการแต่งตั้ง ว่า ตนขอแสดงความยินดีกับผู้นำฝ่ายค้าน คนล่าสุด ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และการแสดงจุดยืนถึงการทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านให้เต็มที่ ในการตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาลนั้น ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะการทำงานในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องมีการทำงานทั้งของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ โดยนิติบัญญัติก็ต้องมีทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งตนขอขอบคุณ ชัยธวัช ที่แสดงจุดยืนเพื่อเป็นประโยชน์ของการทำงานในระบอบรัฐสภา

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ผู้นำฝ่ายค้าน จะมุ่งตรวจสอบรัฐบาล วราวุธ ระบุว่า ต้องขอบคุณมากกว่า เพราะการบริหารงานในฐานะรัฐมนตรีนั้น บางครั้งข้อมูลที่มามาถึงรัฐมนตรีจากฝ่ายปฏิบัติงานอาจถูกแปลงสารหรือมาไม่ครบถ้วนบ้าง ฉะนั้นการทำงานของฝ่ายค้าน ก็จะมีช่องทางที่ได้ข้อมูล ซึ่งเป็นประโยชน์กับรัฐบาล ฉะนั้นการให้คำแนะนำซึ่งบางครั้งอาจจะติติงรุนแรงบ้าง หรือหนักหนาบ้าง แต่ท้ายที่สุด ก็เข้าใจถึงเจตนารมย์เพื่อให้ประเทศพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่สุด

ส่วนกรณีที่พรรคฝ่ายค้าน ขอเลื่อนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จากวันที่ 3-5 ม.ค. เป็นวันที่ 9-11 ม.ค. 67 นั้น วราวุธ ระบุว่า มอง 2 ประเด็น คือ ถ้าเลื่อนไป 1 สัปดาห์ จะตรงกับช่วงวันเด็ก ซึ่งหน่วยราชการทุกหน่วยก็จะวุ่นวายในการจัดเตรียมกิจกรรมต่างๆ และงบประมาณปี 67 มีความล่าช้ามากว่าครึ่งปีแล้ว ฉะนั้นกรอบระยะเวลาเดิม วันที่ 3-5 ม.ค. จะทำให้สามารถใช้งบประมาณได้ช่วงปลายเดือน เม.ย. หรือต้นเดือน พ.ค. ซึ่งเหลือระยะเวลาใช้งบประมาณในปี 67 เพียง 5 เดือนเท่านั้น

ดังนั้นถ้าหากล่าช้าออกไปอีก 7 วัน แม้จะดูเหมือนไม่เยอะ แต่ก็มีความกังวลว่าจะทำให้กระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการทำงานภายใต้กรอบงบประมาณปี 67 และใกล้กับช่วงการตั้งงบประมาณปี 68 พร้อมยืนยันว่าการพิจารณางบ ถ้าหากเป็นไปได้ควรจะเป็นช่วงวันที่ 3-5 ม.ค. 67 เพราะมีข้อจำกัดหลายประการ