นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2563 มีมติเห็นชอบมาตรการการเงินการคลัง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 จากการระบาดของโรคปอดอักเสกจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการการเงิน ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐขยายเวลาชำระหนี้และค่าธรรมเนียม จากเดิมที่ให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้ขยายไปสู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา อาทิ
พร้อมกับให้ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขผ่อนปรน วงเงินรวม 123,000 ล้าบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 3 ต่อปี
"ดูเหมือนว่า มาตรการที่ออกมานี้จะเป็นสิ่งที่เราเคยทำมาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราทำนี้ เราได้เร่งทำ และออกมาอย่างรวดเร็ว รองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ตามการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2563 สศค.ยังต้องการให้เศรษฐกิจปีนี้ขับเคลื่อนด้วยการลงทุน ขณะที่มาตรการที่ออกมาล่าสุดนี้ เป็นการออกมาประคองเศรษฐกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสฯ" นายลวรณ กล่าว
สรรพากรประเมินรัฐสูญรายได้ปีละ 207 ล้านบาทพยุงภาคท่องเที่ยว
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรณีมาตรการขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91) คาดว่า จะช่วยให้ประชาชนผู้มีเงินได้ต้องชำระภาษีมีเวลาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากสถิติการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2561 พบว่า จัดเก็บภาษีได้ 2 หมื่นล้านบาท มีผู้ยื่นแบบทั้งสิ้น 11.7 ล้านราย ขอคืนภาษี 3.7 ล้านราย ส่วนที่เหลืออีกกว่า 7 ล้านรายเป็นผู้ยื่นแบบทั้งที่ต้องชำระภาษีและไม่ต้องชำระภาษี
ส่วนมาตรการหักค่าใช้จ่าย 2 เท่าจากการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรับประโยชน์ประมาณ 1,000 ราย ทำให้รัฐขาดรายได้ภาษีประมาณ 87 ล้านบาทต่อปี ขณะที่มาตรการหักค่าใช้จ่าย 1.5 เท่าจากการปรับปรุงกิจการโรงแรม จะมีผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ประมาณ 1,000 ราย รัฐขาดรายได้ภาษีประมาณปีละ 120 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2562 (ข้อมูล ณ 2 ก.พ.2563) พบว่า มีผู้ยื่นแบบฯ 1.3 ล้านราย ขอคืนภาษี 7 แสนราย และได้รับเงินคืนภาษีแล้ว 5 แสนราย ซึ่งในจำนวนเป็นการรับเงินคืนภาษีผ่านพร้อมเพย์มากถึงร้อยละ 90 และปีนี้ยื่นแบบเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 10 ขณะที่มีจำนวนผู้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2562 ทั้งหมด 11.7 ล้านราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :