นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพาณิช นางสาว กนกวรรณ วิลาวัลย์ และคณะทำงาน เดินทางเข้ากระทรวงศึกษาธิการ ในวันนี้เป็นวันแรก ซึ่งถือฤกษ์ เวลา 07.49 น. โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ประจำกระทรวงให้การต้อนรับ จากนั้นทั้ง3รัฐมนตรีได้เข้าถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 และ สักการะ พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์สยามมิศรจักรี สัฏฐีอนุสรณ์ศึกษาทรรังสรรค์ และศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนที่จะขึ้นห้องประชุมเพื่อมอบนโยบายแก่ ผู้บริหารและจำหน้าที่กระทรวง
ด้านนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอีก 2 คน โดยระบุว่า นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มทำทันที คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะครูที่เป็นต้นทางในการพัฒนาเยาวชน เพื่อให้ทั้งหมดมีความพร้อมในการแข่งขันได้ในศตวรรษที่ 21 ที่โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานร่วมกันระหว่างผู้บริหารกระทรวงกับรัฐมนตรี
เบื้องต้นได้เน้นย้ำกับผู้บริหารแล้วว่า การศึกษาไทยต้องมีการพัฒนาปรับปรุง ส่วนการพัฒนาเยาวชน เราจะวางรากฐานให้ทุกคนนได้รับความรู้พื้นฐานอย่างเท่าเทียม ขณะเดียวกันต้องพร้อมที่ต่อยอดให้กับบุคคลที่มีความพร้อมในการพัฒนาความรู้ความสามารถ เช่นเดียวกันกับเฟ้นหาช้างเผือก ที่ส่วนตัวเชื่อว่า ในเด็กทุกระดับชั้นจะมีเด็กประเภทช้างเผือกที่มีความรู้ความสามารถอยู่แล้ว บุคคลนี้ก็ควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเหมาะสมด้วย นายณัฏฐพล กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวได้เน้นย้ำให้ทุกส่วนราชการทำงานกันเป็นทีม ในระหว่างที่ตัวเองยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทุกคนต้องทำงานเป็นทีม โดยในช่วงบ่ายวันนี้จะมีการหารือวงเล็ก เพื่อแบ่งงานให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทั้ง 2 คนต่อไป
นายณัฏฐพล กล่าวอีกว่า นอกจากการมอบนโยบายใหม่แล้ว หลังจากนี้ยังต้องมีการทบทวนนโยบายเก่าๆ เช่น เรื่องคูปองพัฒนาคุณภาพครู ที่ต้องไปดูว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรขอให้ทุกคนเชื่อว่า ตัวเองเป็นคนกล้าคิดกล้าตัดสินใจ หากวิเคราะห์จนได้คำตอบแล้วว่าเรื่องนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ ก็พร้อมที่จะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งทันที เช่นเดียวกับมาตรการป้องกันการทุจริตอาหารกลางวัน ที่จะมอบหมายให้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เข้าไปดูว่ามีการใช้จ่ายงบประมาณคุ้มค่าหรือไม่ ก็หวังว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นมิติใหม่ของกระทรวง และสุดท้ายก็ขอให้ข้าราชการใส่ใจคำถามจากสื่อมวลชน ที่ต้องนำคำถามเหล่านี้ไปสู่การแก้ปัญหาในสังคมให้ได้
นายณัฏฐพล ยังได้กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าตัวเองไม่มีความรู้ทางด้านการศึกษา อาจส่งผลกระทบในการบริหารงาน ด้วยว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่มองว่าจะวัดกันตรงไหน ส่วนตัวมีความสามารถในการบริหาร พร้อมรับฟังและแก้ไขปัญหาแน่นอน นี่คือหน้าที่ของผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ส่วนความรู้ความสามารถด้านการศึกษาก็พร้อมน้อมรับฟังและมีที่ปรึกษาที่สามารถทำงานได้จำนวนมากอยู่แล้ว ก็พร้อมที่จะร่วมงานกับทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ หากสุดท้ายตัวเองไม่มีความสามารถในการบริหารก็พร้อมน้อมรับจากสื่อมวลชน แต่ถ้าตัวเองบริหารดีก็อย่าลืมบอกต่อคนอื่นด้วย เพราะต้องการให้ทุกคนช่วยกันผลักดันให้การศึกษาไทยได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพหลังจากนี้
ด้านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ส่วนตัวต้องการเดินหน้าทำงานในส่วนที่ตัวเองถนัด โดยมี 2 เรื่องใหญ่ที่ต้องเดินหน้าทันที คือ การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสนับสนุนการทำงานภาคการเกษตร พัฒนาให้เกษตรกรเป็นสมาร์ทฟอาร์มเมอร์ต่อไป ขณะเดียวกันจะริเริ่มการเรียนรู้สมัยใหม่ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะการเขียนโค๊ดดิ้ง ที่เรียกว่าเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ โดยใช้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. เป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับครูอาจารย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาให้กับเยาวชนต่อไป ซึ่งในปีแรกอาจจะมีการทดสอบการเรียนการสอนลักษณะนี้กับบางกลุ่มโรงเรียน ก่อนจะขยายต่อยอดไปสู่การเรียนการสอนทั่วประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาต่อไป
ขณะที่นางสาวกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ บอกว่า ตัวเองได้รับมอบหมายให้พุ่งเป้าการพัฒนาประสิทธิภาพนโยบายเดิมที่มีอยู่แล้ว นอกจากนั้นจะเข้าไปแก้ปัญหาในระบบการเรียนการสอนของ กศน. ที่พบว่า มีผู้สนใจเรียนจำนวนมาก แต่หลายคนไม่สะดวกที่จะมาเรียน จึงมีแนวคิดที่จะทำให้การเรียน กศน.เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ขณะเดียวกันก็จะพัฒนากลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษาให้มีความภาคภูมิใจ ส่วนเรื่องสุดท้ายที่จะต้องเดินหน้าทำทันที คือการเดินหน้าแก้ไขหนี้สินครู ที่ทราบว่าได้ทำไปแล้วประมาณหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้เราจะลงไปทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้ครูมีความสุขในการสอนเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติต่อไป