จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด ในฐานะรองโฆษก และประธานคณะอนุกรรมการนโยบายด้านการพาณิชย์และการค้าระหว่างประเทศของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ในสัปดาห์หน้าว่า สถานการณ์การเข้าร่วม CPTPP ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะมีอังกฤษ จีน และจีนไทเป แจ้งเข้าร่วมเพิ่ม รัฐบาลจึงต้องศึกษาใหม่อย่างรอบคอบ อย่าเร่งรัดดำเนินการด้วยการอาศัยเพียงข้อมูลการศึกษาเก่า ไม่เช่นนั้นไทยจะได้ไม่คุ้มเสีย
ทั้งนี้ ผ่านมาเกือบ 1 ปี รัฐบาลยังคลุมเครือ ไม่สามารถหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันได้ และไร้ความชัดเจนว่าจะดำเนินการตามคำแนะนำจากรายงานผลการศึกษา CPTPP ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลต้องแก้ไขจุดอ่อนในด้านต่างๆ ของไทยก่อนเข้าร่วม CPTPP โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากและพี่น้องเกษตรกรให้พร้อมต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความตกลงดังกล่าว
และยังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลกำลังเร่งส่งหนังสือเข้าร่วม CPTPP โดยใช้ข้อมูลเก่าอ้างอิง ขาดการศึกษากรณีการเข้าร่วม CPTPP ของอังกฤษ จีน และจีนไทเป ไม่ได้หารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปร่วมโดยเฉพาะกับองค์กรผู้บริโภคและเกษตรกร จึงชี้ให้เห็นว่า การบ้านเก่าที่เคยได้รับโจทย์จากสภาผู้แทนราษฎรก็ยังไม่ได้ส่ง การบ้านใหม่ก็ยังไม่ได้ทำ แต่ไปทำในสิ่งที่ยังไม่ควรทำคือการเร่งรีบจะเข้าร่วมความตกลง CPTPP จึงไม่ได้ต่างอะไรกับกรณีการเร่งรัดปิดเหมืองทองอัครา จนทำให้ไทยถูกเอกชนฟ้องศาลอนุญาโตตุลาการ
“ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ออกมาชี้แจงว่าการเข้าร่วม CPTPP ของไทย ได้คุ้มเสียหรือไม่ มีการเตรียมความพร้อมประเทศอย่างไรบ้าง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ และต้องอธิบายผลการศึกษากรณีอังกฤษ จีน และจีนไทเป เข้าร่วมความตกลง CPTPP เพราะหากไม่มีความชัดเจน ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดการลงทุนเหมืองทองโดยขาดความรอบคอบ ทำให้ไทยถูกเอกชนฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายนับหมื่นล้าน เหมือนเอาประชาชนและประเทศชาติเป็นจำเลย” จิราพร กล่าว