ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ดร.โจซัว ไซเนอร์ แห่งโรงพยาบาลเมาท์ไซนาย ในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ และ ดร. ราเนลลา เฮิร์ช ผู้เชื่ยวชาญด้านผิวหนังจากบอสตัน ต่างเห็นพ้องกันว่า ทุกวันนี้เราอาบน้ำมากเกินไป ซึ่งการกระทำเช่นนี้เกิดจากเรื่องจารีตทางสังคม ทั้งคู่ยังกล่าวอีกว่า การอาบน้ำบ่อยๆ นั้นจะทำให้ผิวหนังของเราแห้ง แบคทีเรียชนิดดีต่อผิวหนังจะถูกกำจัดออกไปขณะที่เราอาบน้ำ ซึ่งจะนำไปสู่การติดเชื้อโรคทางผิวหนังได้ง่ายกว่าปกติ
ดร.ไซเนอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เราทำความสะอาดบริเวณหน้า รักแร้ หน้าอก และบริเวณอวัยวะเพศ โดยใช้ผ้าสำหรับทำความสะอาดร่างกายก็เพียงพอแล้วในวันที่ไม่ต้องการอาบน้ำ
ขณที่ ดร.เอลเลน ลาร์สัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดเชื้อของวิทยาลัยพยาบาล มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กล่าวว่า การอาบน้ำจะช่วยลดกลิ่นตัวหลังจากการออกกำลังกาย แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคให้เข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้นการล้างมือให้สะอาด จึงเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วต่อการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และการอาบน้ำที่มากเกินไปจะทำให้ผิวหนังแห้ง และเสี่ยงต่อการมีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ
การอาบน้ำที่กลายมาเป็นข้อปฏิบัติทางสังคมเกิดจากไหน??
แคทเทอรีน แอชเบิร์ก ผู้เขียนหนังสือ ความสกปรกในความสะอาด: ประวัติศาสตร์ความสกปรก กล่าวว่า ชาวโรมันนั้นเป็นพวกที่ชื่นชอบการอาบน้ำมาก และพวกเขาต้องอาบน้ำวันละหนึ่งครั้งในบ่ออาบน้ำสาธารณะ ขณะที่ประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณและกรีกโบราณ ก็ได้พูดถึงการอาบน้ำในที่อาบน้ำสาธารณะไว้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายลง การเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดก็ได้กระจายไปยังชุมชน ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการอาบน้ำได้มากขึ้น
ในสังคมอเมริกัน หลังจากสงครามกลางเมือง เรามักจะพบเห็นโฆษณาสบู่สำหรับชำระร่างกายอย่างแพร่หลายในสหรัฐ ในช่วงปี 1920-1930 ผู้หญิงจำนวนมากได้เข้าสู่ภาคแรงงาน และคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็หันไปเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่การรักษาความสะอาดของร่างกายและการชำระล้างร่างกาย แคทเทอรีนยังบอกอีกว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับเชื้อโรคนั้นไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับการรักษาความสะอาดของคนอเมริกัน