ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ อัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้นำตัว นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) หนึ่งในผู้ต้องหาคดีชุมนุมบริเวณสกายวอล์ค แยกปทุมวัน หรือ MBK39 ในส่วนของแกนนำ มาส่งฟ้องเป็นคนแรก เนื่องจากวันที่นัดส่งฟ้องอีก 8 คนที่เหลือ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 คือ นายอานนท์ นำภา, นายรังสิมันต์ โรม, นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ , นายเอกชัย หงส์กังวาน , นางสาวณัฎฐา มหัทธนา นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นั้น นายวีระ ไม่สามารถเดินทางมาได้
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 3/58 ข้อ 12, ข้อหาชุมนุมภายในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตามมาตรา 7 พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และข้อหายุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา รวม 3 ข้อหา โดยได้บรรยายพฤติการณ์ของกลุ่มที่ถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 116 ด้วย สรุปได้ว่า ในเหตุการณ์วันดังกล่าว นายเนติวิทย์ นายวีระ นางสาวณัฎฐา นายรังสิมัน นายสิรวิชญ์ นายเอกชัย มีการเสวนาที่สวนครูองุ่น ในซอยทองหล่อ ในการเสวนามีการกล่าวถึงการชุมนุมที่สกายวอล์คหน้า MBK หลังเสวนาพวกเขาเดินทางไปรวมชุมนุมด้วย
ซึ่งบริเวณที่ชุมนุมดังกล่าวอยู่ห่างจากวังสระปทุม 148.53 ม. ระหว่างชุมนุมได้มีการผลัดกันปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาลและ คสช. ว่ามีการทุจริตใช้อำนาจไม่เป็นธรรม และเรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง รวมถึงมีการชักชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมโค่นล้มรัฐบาลและ คสช. โดยนายวีระ นายสมบัติ นายเอกชัยได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนพร้อมแสดงป้าย “หมดเวลา คสช.” โดยในชั้นพนักงานสอบสวนส่งฟ้องต่ออัยการ ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์
เบื้องต้นศาลเรียกหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน 120,000 บาท แต่ด้วยตนไม่ได้เตรียมหลักทรัพย์มา เนื่องจากให้ทนายประสานมาแล้ว แต่ทางศาลฯแจ้งว่าไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เพียงแค่สาบานตน ตนต้องทำเรื่องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยที่ไม่ต้องวางเงินประกัน จึงต้องเข้าโครงการประเมินความเสี่ยง กว่าจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เมื่อถามว่า จากนี้จะเป็นบรรทัดฐานหรือไม่ว่า คดีของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจะไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัว นายวีระกล่าวว่า น่าจะเป็นกรณี ๆ ไป ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล อย่าพึ่งไปเข้าใจว่าเป็นบรรทัดฐาน
ทั้งนี้นายวีระ กล่าวว่า ตนถูกแจ้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่นเพิ่มเติมทีหลังคนอื่น ๆ ในวันดังกล่าวตนได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่มาขอสัมภาษณ์เท่านั้น ไม่ได้ร่วมขึ้นปราศรัยแต่อย่างใด และอยู่ในบริเวณนั้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ยังโดนคดีไปด้วย คงข้อหาหมั่นไส้ มีการออกหมายเรียกไปแล้วตั้ง 3 วันก่อนที่ตนจะได้รับหมายเรียกเพิ่มเติม โดยคิดว่าสาเหตุที่โดนคดีนั้น น่าจะมาจากการที่ตนเป็นผู้ที่ตรวจสอบการทุจริตของบรรดาผู้นำใน คสช. รวมถึงในวันดังกล่าว ตนไปร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนา เรื่องนาฬิกา 25 เรือนของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงตนเป็นคนยื่นเรื่อง นาฬิกานี้ต่อ ป.ป.ช.
"ทำให้ตนคิดว่า สิ่งที่ทำให้ตนโดนคดีนี้ มาจากเรื่องนาฬิกา ขณะนี้ในเรื่องของนาฬิกาพลเอกประวิตร ตนก็ยังตามอยู่ตลอด มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมก็จะนำไปยื่นเพิ่มอยู่ตลอด ก็ยังคงไม่มีความคืบหน้า ซึ่ง ป.ป.ช.ก็ยังคงยืนยันว่ายังตรวจสอบไม่เสร็จสิ้น ไม่รู้จะตรวจสอบไปอีกนานเท่าไร"
นอกจากนี้คดีที่ตนยื่นฟ้อง ต่อ ป.ป.ช. คดีล่าสุดใช้เวลาสอบสวน 12 ปี คดีก่อนหน้านี้ 14 ปี แต่ในที่สุดก็บอกว่าทำอะไรไม่ได้ เมื่อถามว่าคาดหวังอย่างไรต่อการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ในเรื่องนาฬิกาพลเอกประวิตร นายวีระกล่าวว่า ตนไม่อยากชี้โพรงให้กระรอก ไม่พูดดีกว่า รอ มีมาตรการไม่ให้ลอยนวลอย่างแน่นอน
ทั้งนี้นายวีระ ยังคงไม่มั่นใจว่าในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 จะได้เลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ที่กลุ่ม FFFE จะมาช่วยกันจับตาดูการเลือกตั้ง ถ้าหากจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะตนเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการทุจริตกันอย่างมากมายเลยทีเดียว