ไม่พบผลการค้นหา
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เล่าประสบการณ์ความรักในรั้วมหาวิทยาลัย และชีวิตนักการเมืองหญิงสุดสตรองที่มีคุณพ่อเป็นทั้งครูและต้นแบบในชีวิต

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย เปิดเผยกับทีมข่าว 'วอยซ์ ออนไลน์' ถึงที่มาของกระแสจินนี่ฟีเว่อร์ หลังลงพื้นที่เชิญชวนคนมาสมัครสมาชิกพรรคที่ย่านประตูน้ำว่า วันนั้นเป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของอากง หรือ คุณปู่ของน้องจินนี่ - ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ ช่วงเช้าคุณพ่อ นายสมยศ ลีลาปัญญาเลิศ กับน้องจินนี่ ก็ไปทำบุญให้อากง ขณะที่ตนและลูกชายคนโต บอส - ภูมิภัทร ลีลาปัญญาเลิศ มาดูจัดสถานที่รับสมัครสมาชิกพรรคที่ห้างแพลตตินั่ม และนัดกันทานข้าวเที่ยงก่อนจะแยกย้ายกันไปทำธุระ ส่วนตนและลูกชายก็จะเดินเชิญชวนประชาชนสมัครสมาชิกต่อ ปรากฎว่าระหว่างเดินอยู่น้องจินนี่เข้ามาเดินด้วย เพราะมีนักข่าวบอกว่าอยากได้ภาพคู่กับแม่ ให้มาเดินข้างแม่ขอเก็บภาพหน่อย ซึ่งตัวเองก็คิดว่าลูกและสามีกลับบ้านไปแล้ว หลังจากนั้นจึงกลายเป็นกระแส 'พรรคเพื่อเธอ' ในโลกโซเชียล

จินนี่ ยศสุดา สุดารัตน์.jpg

แต่จะว่าไปแล้ว น้องจินนี่ นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ถือว่าเป็นหลานสาวของคณะบัญชีฯ โดยแท้ เพราะคุณพ่อและคุณแม่เองก็จบสาขาการตลาดจากคณะนี้มาเหมือนกัน

"แม่จบมาเพราะเครื่องซีร็อกซ์นะ"

ประโยคเปิดเรื่องก่อนที่คุณหญิงสุดารัตน์จะเริ่มเล่าประสบการณ์ความรัก

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2522 หลังจากนางสาวสุดารัตน์ จบการศึกษาจากโรงเรียนเซนโยเซฟคอนแวนต์ เข้าเรียนต่อที่คณะบัญชี จุฬาฯ ตอนนั้นเธอทำธุรกิจขายเสื้อผ้าและกิ๊ฟช็อปกับลูกพี่ลูกน้องและพี่สะใภ้อยู่ที่ห้างไดมารู และต่อมาก็ขยายไปเปิดสาขาใหญ่ที่เซนทรัลลาดพร้าว เวลาส่วนใหญ่ก็จะทุ่มเทไปกับการซื้อผ้าที่สำเพ็ง ตัดชุด จัดร้าน ทำบัญชี และขนห้องเข้าร้าน ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยได้เข้าเรียน จะเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่ชอบและรู้ว่าสามารถเอาไปใช้ทำอาชีพต่อในอนาคต

สุดท้ายเธอเรียนจบมาด้วยเกรด 3.4 ภายในเวลา 3 ปีครึ่ง โดยถ่ายเอกสารเล็กเชอร์ของเพื่อนมาอ่านประกอบกับตำราเรียน 1 สัปดาห์ก่อนสอบ

"ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊จู จะมีเครื่องซีร็อกซ์เป็นเครื่องแรกๆ ของแถวนั้น แต่ก่อนหลายตังค์นะ ลงทุนน่าดู เอากำไรจากร้านขายเสื้อผ้านี่แหละมาซีร็อกซ์ที่เพื่อนเล็กเชอร์" คุณหญิงสุดารัตน์พูดพลางหัวเราะ

คุณหญิงสุดารัตน์เล่าต่อว่า มีอยู่วิชาหนึ่ง เธอเอาเล็กเชอร์เพื่อนไปอ่านเทียบกับตำราแล้วพบว่าเพื่อนจดผิด ก็รีบโทรนัดเพื่อนมาอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องสอบแต่เช้า ระหว่างทางเดินขึ้นตึกก็เปิดตำราให้เพื่อนดูว่าที่จดผิดมันอยู่หน้าไหน ขณะนั้นทางมหาวิทยาลัยทำความสะอาดท่อระบายน้ำและเปิดผาท่อทิ้งไว้ เธอรีบเดินเปิดตำราคุยกับเพื่อนโดยไม่ได้มองทางจนตกลงไปทั้งตัว โดนเหล็กเสียบหน้าแข้ง แต่ด้วยความอาย กลุ่มเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าตึกก็รีบเดินก้มหน้าขึ้นห้องสอบ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัว จนอาจารย์ที่คุมสอบเดินมาทักว่าเป็นอะไรทำไมเลือดออก ตัวเองก็ตกใจมือไม้อ่อน จนเพื่อนๆ ต้องพาลงไปชั้นล่างเพื่อที่จะไปหาหมอ พอดี พี่จิ้น - สมยศ หนุ่มนักบาสคณะบัญชี ซึ่งเป็นพี่ 'โต๊ะรับน้อง ข.5' ของคณะเดินผ่านมา จึงอาสาพาไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะเพื่อนๆ ต้องขึ้นไปสอบต่อ

"จริงๆ อะ เราเหม็นหน้าเขามากนะพี่คนนี้ เขาเป็นพี่ว้าก! มันเป็นระบบโซตัสไง เราต้องซ้อมเชียร์ เราเข้าไปปีหนึ่ง เขาปีสาม เขาก็บอกทำไมไม่ตั้งใจ อย่างโน้นอย่างนี้ ก็จะแบบจะลงโทษให้เราออกมาร้องเอง เราก็เกลียดมากเลย จะมาใช้อำนาจเราไม่ชอบมากเลยนะ" 

ตอนนั้นเธอไม่ชอบขี้หน้ารุ่นพี่คนนี้มาก เพราะเป็นพี่ว้ากที่โต๊ะรับน้อง ชอบนั่งวางท่าอยู่ด้านหลังแสตนด์ขณะซ้อมเชียร์ มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอแอบเอาขนม ลูกชิ้นปิ้ง และหมึกปิ้งเข้ามาแบ่งเพื่อนกินขณะซ้อมร้องเพลงเชียร์ แล้วถูกพี่ิจิ้นตะโกนใส่ว่าไม่ตั้งใจ จะลงโทษให้ออกมาร้องเพลงเชียร์

คุณหญิงเล่าว่าเธอเป็นลูกคนเดียว ไม่ชอบให้ใครมาขึ้นเสียง เธอจึงเกลียดพี่คนนี้ และพยายามเอาชนะ โดยการแอบเอาถั่วหรือขนมที่ไม่มีไม้เสียบซึ่งสังเกตเห็นได้ยากกว่าเข้ามากินขณะซ้อมเชียร์อีกหลายครั้ง โดยที่พี่จิ้นจับไม่ได้

หลังจากจบห้องเชียร์ พี่น้องทุกคนในโต๊ะก็สนิทสนมกัน ไปกินข้่าวไปดูหนังด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งที่ผิดสังเกตคือ ช่วงแรกๆ พี่ิจิ้นมักจะวางท่ากันหนุ่มๆ จากมหาวิทยาลัยอื่นที่จะมาจีบเธอ จนมารู้ความจริงในช่วงรักษาตัวหลังตกท่อ พี่จิ้นอาสาไปรับไปส่งจากบ้านมามหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่บ้านอยู่คนละทาง พี่ิจิ้นบ้านอยู่กล้วยน้ำไท ส่วนเธออยู่ลาดพร้าว จากเดิมพี่ิจ้ิ้นออกจากบ้านมาเรียน 7 โมงเช้า ก็ต้องออกตี 5 เพื่อไปรับเธอ แล้วหลังจากนั้นก็พยายามหาเหตุผลมารับมาส่งอยู่เนืองๆ จนเธอใจอ่อนและตกลงคบกันเป็นแฟนตั้งแต่ตอนนั้น คุณหญิงหน่อยพูดติดตลกว่า "ปรากฎว่านางตกท่อแต่ได้แฟน"

"ตอนที่จีบกันเขาจะบอกว่าแต่ก่อนเนี่ยนะ เขาต้องตื่นเจ็ดโมง แปดโมง เขาก็ตื่น เขาก็ไปโรงเรียนทัน เพราะอยู่คลองเตย เขาก็มาจุฬาก็ง่าย แต่ต้องมารับพี่ก็ต้องตื่นตี 5 ตื่นตี 5 ครึ่ง เพื่อที่จะมารับ แล้วก็ไปส่งโรงเรียน เขาพูดให้เราเห็นใจนั่นแหละ แต่พอแต่งแล้วเขาพูดว่าไงรู้ไหม นี่นะ ถ้าไม่มีทางด่วน ฉันไม่จีบเธอเด็ดขาด" 

สุดารัตน์.PNG

คุณหญิงสุดารัตน์ยอมรับว่าวีรกรรมความแสบของเธอในสมัยมหาวิทยาลัย ยังไม่เท่านายสมพล เกยุราพันธุ์ คุณพ่อที่เป็นเหมือนคุณครู สอนให้เธอใช้ชีวิตและเป็นนักการเมืองหญิงที่แข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้

เธอเล่าว่าคุณแม่จะคอยดูแลสุขภาพ เพราะเป็นเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง ส่วนคุณพ่อจะสอนทักษะต่างๆ เช่น สอนให้รู้จักคุณค่าของเธอโดยการพับหนังสือพิมพ์เป็นถุงใส่กล้วยแขกขายตั้งแต่ ป.4, สอนให้เป็นคนกล้าด้วยการบังคับให้ขายขนมครกหน้าปากซอยอยู่ 2 สัปดาห์, พอโตขึ้นก็ถูกส่งไปฝึกอาชีพกับเพื่อนพ่อทุกปิดเทอม เช่น ขายแก๊ส, เป็นแม่บ้านล้างห้องน้ำ

ส่วนเรื่องที่เป็นเหตุการณ์ที่ตลกที่สุดทำให้คุณหญิงสุดารัตน์จำไม่มีวันลืม คือ การสอนขับรถ ที่พ่อจะพาไปฝึกขับรถที่สนามต่างจังหวัดจนพอเริ่มขับได้ก็กลับมาที่กรุงเทพฯ

เธอเล่าว่ามีอยู่วันหนึ่ง พ่อมารับหลังเลิกเรียน รู้สึกดีใจมาก เพราะปกติหากแม่มารับจะต้องรีบกลับบ้านไปทำการบ้าน ถ้าพ่อมารับจะได้แวะไปกินขนม แต่วันนั้นระหว่างที่รถติดอยู่ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ พ่อกลับลงจากรถ ไปขึ้นรถเมล์ ปล่อยให้เธออยู่ในรถคนเดียว จนจราจรเริ่มเคลื่อนตัว รถข้างหลังบีบแตร พ่อโบกมือส่งสัญญาณอยู่บนรถเมล์ให้ขับรถไปต่อเอง รู้สึกตกใจมาก แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากย้ายมานั่งฝั่งคนขับ แล้วรวบรวมความกล้าขับต่อไปจนถึงบ้านด้วยความกลัว พอกลับมาถึงบ้านเห็นพ่อกับแม่ยืนรออยู่หน้าบ้าน แล้วพ่อก็ทักว่า "ไปไหนมาล่ะ กลับมาซะช้าเลย"

คุณหญิงบอกว่าตอนนั้นโกรธพ่อมาก ร้องไห้และเดินขึ้นบ้านโดยบอกไม่พูดจา แต่หลังจากนั้นมาก็ทำให้เธอขับรถเก่งขึ้น

"นอนร้องไห้ทุกคืน ทำไมเราเป็นลูกที่พ่อไม่รัก ทำไมพ่อทำกับเราอย่างนี้ แต่วันนี้ มันเป็นเราทุกวันนี้ได้ เพราะพ่อ เพราะคุณสมพล เกยุราพันธุ์ นี่แหละ ที่ตอนนั้นเราบอก ทำไมโหดกับเรานัก สอนเรา สอนทุกอย่าง สอนให้รู้จักคุณค่าของเวลา คุณค่าของคน มีจิตใจที่เอื้ออาทร ความซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพียร ความแข็งแกร่ง พ่อจะพูดเสมอว่าผู้หญิงเนี่ยอ่อนนอกได้นะ แต่ต้องแข็งข้างใน"

สุดารัตน์.PNG

คุณหญิงบอกว่าเมื่อโตขึ้นมาพ่อก็พาเธอไปลงพื้นที่พบชาวบ้าน และเห็นว่าเมืองโคราชที่พ่อเป็น ส.ส. พัฒนาขึ้นจากไม่มีอะไรเลย จนมีถนนตัดผ่าน มีน้ำประปา มีไฟฟ้า มีโรงเรียน ฯลฯ และพ่อก็พยายามสอนให้เธอมีทักษะของนักการเมือง เมื่อเธอพร้อมจึงลงสนามการเมืองตามเจตนารมณ์ของพ่อ และตั้งใจเป็นนักการเมืองที่ดีให้พ่อภูมิใจ พ่อมักจะพูดอยู่เสมอว่าประชาธิปไตยจะให้โอกาสคนทุกคนอย่างทัดเทียมกัน และถือเป็นคติที่เธอจดจำและใช้ในการทำงานการเมืองตลอดมา

"พ่อสอนแม่เสมอว่าระบอบประชาธิปไตยคือระบอบที่ให้โอกาสคนยากคนจน ได้มีความทัดเทียม หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง หนึ่งเสียงที่ออกไป ก็เป็นหนึ่งสิทธิ์ที่เขาจะมีโอกาสแชร์ทรัพยากรของประเทศมาแก้ไขปัญหาให้เขาได้"