นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน หรือ กสม. ระบุถึง กรณีที่ทนายความของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ 'ไผ่ ดาวดิน' ยื่นเรื่องเพื่อขอให้ศาลสั่งปล่อยตัว หลังถูกขังเกินกว่า 6 เดือน ตามโทษสูงสุด ของคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 กรณีชูป้ายคัดค้านรัฐประหาร ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจังหวัดขอนแก่น ในวาระครบรอบ 1 ปีรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 โดยนางอังคณาระบุว่าเรื่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล อีกทั้งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีแชร์บทความของสำนักข่าวบีบีซีไทย ซึ่งทำให้นายจตุภัทร์ยังต้องถูกควบคุมตัวอีก1 ปี เศษ โดยตนไม่ได้ไปร่วมสังเกตการณ์จึงไม่ทราบว่าศาลมีดุลพินิจอย่างไร 

แต่ทั้งนี้ก็มีบางกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาผู้ต้องหามีคดีหลายคดีทับซ้อนกัน อาจทำให้ศาลเพิ่มเวลาในการจำคุกได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ทั้งนี้อยากให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ใช้ดุลพินิจ และผ่อนปรนให้คดีทุกคดีที่อยู่ในศาลทหารได้ขึ้นศาลพลเรือน เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้ต้องหาสามารถรู้สึกว่าเข้าถึงความยุติธรรมได้

นอกจากนี้ยังกล่าวถึง กรณีืีที่ประเทศไทยได้รายงานตามกติกาประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เมื่อประมาณเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทาง กสม. ได้มีความเห็นว่าศาลไทยควรที่จะนำข้อบทในอนุสัญญามาใช้ในการประกอบการพิจารณาคดีด้วย

ส่วนเรื่องของการเยียวยานั้นระบุว่าต้องการให้คำนึงถึงเรื่องของการคืนศักดิ์ศรีมากกว่า เนื่องจากนายจตุภัทร์ กรณีของนักโทษการเมือง ต้องยอมรับว่ากรณีต่างๆเหล่านี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่ก่ออาชญากรรม ไม่ได้กระทำชั่วหรือกระทำผิดร้ายแรงละเมิดสิทธิในชีวิตของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้อาจมีความคิดเห็นที่แตกต่าง และอาจจัดกิจกรรมโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ได้ไตร่ตรอง ดังนั้นจึงควรมีการทบทวนและควรพิจารณาว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ที่กระทำผิด เพียงแต่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งทุกคนสามารถที่จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ และความคิดที่แตกต่างนั้นไม่ได้เป็นการไปกระทำการให้เกิดความเสียหาย เป็นเพียงแค่ความคิดที่เห็นต่างแต่ไม่ถือเป็นความผิด