เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วย พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตตานี, พ.ต.อ.ขวัญดี ฉิมพลี รองผู้บัญคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี, พ.อ.หาญพล เพชรม่วง ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 43 ร่วมกันแถลงข่าวที่มณฑลทหารบกที่ 46 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี กรณีการออกประกาศควบคุมพื้นที่พิเศษตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ควบคุมอาวุธปืน เรือและยานพาหนะที่ต้องนำมาลงทะเบียนกับหน่วยทหารและอำเภอในที่ตั้ง ในพื้นที่ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ภายใน 7 วัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 17 ก.ย. 2561 

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากผลปฏิบัติหลังจากหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีได้เปิดแผนยุทธวิธีเชิงรุกวางกำลังควบคุมพื้นที่เพื่อปิดล้อมตรวจค้นกลุ่มคนร้ายที่ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนของกองร้อยทหารพรานที่ 4303 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 4 นาย เหตุเกิดในพื้นที่บ้านบางทัน ต.บางเขา อ.หนองจิก ปัตตานี คืนวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา

คืบหน้าล่าสุด หน่วยกำลังร่วมทหารตำรวจและฝ่ายปกครองพร้อมอาวุธครบมือรวมไปถึงชุดปฏิบัติการทางน้ำจากหน่วยบินฉกอโณทัยร่วมกว่า 1,000 นายกระจายกำลังปิดล้อมตรวจค้นและไล่ล่าคนร้ายต่อเนื่อง 24 ชม. เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อความไม่สงบและคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ และเคลื่อนไหวในพื้นที่ ผลการปฏิบัติสามารถควบคุมผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุ 8 คนโดยหนึ่งในนั้นคือนายฟาริด ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนดูต้นทางและชี้เป้าก่อนจะขยายผลสาวไปถึงผู้ร่วมก่อเหตุอีกหลายคน

ด้านพล.ท. ปิยวัฒน์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า จากเหตุที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่และประชาชนทุกเชื้อชาติเหมือนกันหมด และเหตุกระทำผิดต่อไปนี้ผู้เป็นพ่อแม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำลูกหลาน โดยกำลังตั้งทีมกฎหมายเข้ามาดูแล ให้ผู้ก่อเหตุคิดใหม่หันมาให้ความร่วมมือกับภาครัฐให้มาเข้าโครงการพาคนกลับบ้าน สำหรับพื้นที่ 2 ตำบล คือ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษเพราะยังคงมีเจ้าหน้าที่หลายร้อยนายปฏิบัติภารกิจเชิงรุกในการกดดันเปิดช่องว่างไม่ให้มีโอกาสเคลื่อนไหวหากพบจะดำเนินยุทธวิธีทันที