เมื่อเวลา 16.40 น. วันที่ 18 พ.ค. 2565 ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เสาชิงช้า เขตพระนคร พรรคเพื่อไทย จัดเวทีปราศรัย 'อยากใช้เพื่อไทย เลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด' เรียกคะแนนเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายให้ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในนามพรรคเพื่อไทย ทั้ง 50 เขต ประชาชนผู้สนับสนุนผู้สมัคร ส.ก. พรรคเพื่อไทยจากหลากหลายเขต สวมเสื้อสีขาว-แดง ทยอยเข้าสู่หน้าเวทีปราศรัยจนเต็มพื้นที่ ทั้งนี้ พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งส.ก. พรรคเพื่อไทย วิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. พรรคเพื่อไทย รวมถึง นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมายังงานและร่วมถ่ายรูปกับประชาชนที่มาร่วมฟังปราศรัย
'เดียร์' จวก ส.ก. จากคำสั่ง คสช. เป็นตรายางอนุมัติผู้ว่าฯ ม.44
เวลา 17.00 น. ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยในหัวข้อ '9 ปี กรุงเทพฯ แช่แข็ง' ระบุว่า เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ยอมปล่อยมือจากอำนาจ จนทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ใช้สิทธิเป็นครั้งแรกมากถึง 7 แสนคน หลังจากไม่ได้มีโอกาสเลือกตั้งมานานร่วม 9 ปี แต่ก็ยังดีที่การเลือกตั้งกรุงเทพฯ เป็นการเลือกตั้งทางตรง ไม่ต้องผ่านด่าน 250 ส.ว. เหมือนเลือกตั้งนายกฯ
ขัตติยา ชี้ให้เห็นความสำคัญของ ส.ก. ด้วยอำนาจของผู้ว่าฯ กทม. มีสูงมาก ส.ก.จึงต้องมีหน้าที่ตรวจสอบและพิจารณาการทำงาน รวมถึงการบริหารงบประมาณของผู้ว่าฯ ว่าเหมาะสม แก้ปัญหาได้ตรงจุดหรือไม่ อีกทั้งยังมีหน้าที่ออกข้อบัญญัติ กทม. คือกฏหมายที่ใช้งานครอบคลุมทั้งพื้นที่กรุงเทพฯ ดังนั้น ส.ก.สามารถรับฟังความเห็นจากประชาชน เพื่อปรับแก้ข้อบัญญัติ กทม. ให้เหมาะสมลงตัวขึ้น
ขัตติยา ยังระบุว่า กรุงเทพฯ อยู่ในสภาพเหมือนถูกแช่แข็งมาถึง 9 ปี เพราะได้ ส.ก.ที่รัฐบาล คสช. เป็นผู้แต่งตั้งและอยู่ในตำแหน่งมายาวนาน คนเหล่านี้ล้วนเป็นข้าราชการประจำที่ทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่ได้ออกมารับฟัง หรือรับทราบปัญหาของประชาชนเลย
"นอกจากเราจะได้ ส.ก. 30 คน ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแล้ว เรายังได้ผู้ว่าฯ กทม. ที่มาจากมาตรา 44 เท่ากับว่าเราได้ ส.ก. 30 คน ที่เหมือนตรายางประทับให้ผู้ว่าฯ กทม. ที่มาจากมาตรา 44 ทำอะไรก็ได้ตามใจ โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนเลย" ขัตติยา กล่าว
ขัตติยา กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีมรดกคือความเชื่อมั่นจากประชาชน ทุกสิ่งที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ ทุกปัญหาที่รับปากจากประชาชน จะถูกนำมาปฏิบัติจริงในแนวนโยบาย ที่หากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งเข้าไปแล้ว เราจะทำมันให้ได้จริง
'ทัดดาว' ดันนโยบาย soft power คืนอำนาจให้พ่อค้าแม่ค้า
ทัดดาว ตั้งตรงเจริญ ผู้สมัคร ส.ก.เขตราชเทวี ขึ้นปราศรัยภายใต้หัวข้อ '50 เขต 50 Soft Power' ชูนโยบายส่งเสริมวัฒนธรรมประจำพื้นที่ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีพื้นที่ค้าขายอาหารไทยริมทางด้วยการจัดโซนนิ่ง เพื่อสร้างเงินหมุนเวียนในชุมชน และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นการตัดโอกาสทุจริตจากเทศกิจที่มาเก็บส่วยเอาเปรียบพ่อค้าแม่ค้าอีกด้วย
'เนติภูมิ' มุ่งพัฒนา 437 สถานศึกษาใกล้ชุมชน ต่อยอดอาชีพ
เนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย ผู้สมัคร ส.ก.เขตบึงกุ่ม เบอร์ 3 ปราศรัยหัวข้อ '437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้' โดยระบุว่า นโยบาย 437 สถานศึกษานั้น มุ่งพัฒนาสถานศึกษาและศูนย์ฝึกอาชีพที่มีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และแต่ละที่อยู่ใกล้กับชุมชน เหมาะแก่การส่งเสริมให้ประชาชนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ต่อยอดไปสู่การประกอบอาชีพหารายได้ และพรรคเพื่อไทยยังผลักดันให้นโยบายนี้ เรียนฟรีตลอดชีพ
'สุรจิตต์' แนะพัฒนาคมนาคม เชื่อ 30 บาท ถึงที่หมาย เป็นจริงได้
สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ผู้สมัคร ส.ก.เขตลาดกระบัง เบอร์ 2 ขึ้นปราศรัยหัวข้อ 'เดินทาง 30 บาทถึงที่หมาย' กล่าวถึงปัญหารถติดและความเหลื่อมล้ำที่อยู่คู่กรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน แม้ราคารถไฟฟ้าก็เกินเอื้อมเพราะคิดเป็น 40% ของค่าแรงขั้นต่ำ พรรคเพื่อไทย เสนอทางแก้ให้ขายสัมปทานรถไฟฟ้าคืนให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว ลดการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนเอาเปรียบประชาชน พรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่าค่าโดยสาร 30 บาท เป็นไปได้ เพราะนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ยังสำเร็จมาแล้ว
'นฤนันมนต์' ดันนโยบายกองทุน 2 แสนบาทต่อปี ให้ชุมชนพัฒนาตัวเอง
นฤนันมนต์ ห่วงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตคลองสามวา เบอร์ 1 ปราศรัยหัวข้อ 'กองทุนพัฒนาชุมชน หมู่บ้าน คอนโด 200,000 บาท' กล่าวถึงปัญหาต่างๆ ในที่พัก เช่น คอนโด ที่ได้รับการดูแลจากสำนักงานเขตได้อย่างไม่ทั่วถึง นโยบายกองทุนพัฒนาชุมชนฯ มูลค่า 2 แสนบาทต่อปี ซึ่งต่อยอดจากนโยบายกองทุนเอสเอ็มแอล นั้น จะช่วยคืนอำนาจให้ประชาชน สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อการดูแลอย่างทั่วถึง และการพัฒนาที่ตรงจุด เพราะให้ส่วนกลางของชุมชนบริหารกันเองได้
'นิกร' ลั่นคนกรุงเทพฯ ต้องได้รับการรักษาในเขตตัวเอง
นิกร ซัจเดว ผู้สมัคร ส.ก.เขตวัฒนา เบอร์ 7 ปราศรัยหัวข้อ '50 เขต 50 โรงพยาบาล' โดยมองว่าในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา แต่ระบบการหาเตียงและการเข้าถึงการรักษายังไม่ดีเท่าที่ควร หลายครอบครัว รวมถึงครอบครัวของตน ตกเป็นเหยื่อของนโยบายสาธารณสุขที่ล้มเหลว สำหรับนโยบาย 50 เขต 50 โรงพยาบาล จะผลักดันให้ชาวกรุงเทพฯ ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากสถานพยาบาลในเขตของตัวเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมารักษาไกลจากบ้าน