นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤติโรฮิงญาหนีภัยความรุนแรงขึ้นมาที่ทหารเมียนมายอมรับว่ามีส่วนในการสังหารพวกเขา หลังจากที่ปฏิเสธมานาน
อย่างไรก็ตามแถลงการณ์ของผู้บัญชาการกองทัพเมียนมาพลเอกอาวุโสมินอ่องหล่ายน์ ยังยอมรับเฉพาะเรื่องเรื่องหลุมศพหมู่ที่เพิ่งพบในรัฐยะไข่
วอชิงตันโพสต์รายงานว่า แถลงการณ์ของสำนักงานผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมาได้ระบุถ้อยคำว่าทหารและคนในหมู่บ้านอินดินได้สังหาร “ผู้ก่อการร้ายเบงกาลี 10 คน” ซึ่งเป็นคำที่เมียนมาใช้เรียกชาวโรฮิงญา และอ้างว่าที่ทำลงไปเพราะถูกยั่วยุและคนพุทธในหมู่บ้านอาจมีอันตราย ทั้งนี้ในแถลงการณ์ยังระบุด้วยว่าจะดำเนินการกับทหารเหล่านั้นอีกด้วย
ด้านบีบีซีรายงานว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากการสอบสวนของทหารเมียนมาหลังจากที่มีข่าวการค้นพบหลุมศพหมู่ในหมู่บ้านอินดิน
สื่อต่างประเทศระบุว่า นับเป็นครั้งแรกที่ทหารเมียนมายอมรับว่ามีส่วนในการใช้ความรุนแรงกับชาวโรฮิงญาที่พากันหลบหนีความรุนแรงออกจากรัฐยะไข่ของเมียนมาไปยังชายแดนบังกลาเทศจำนวนหลายแสนคนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้วอชิงตันโพสต์ระบุถึงกลุ่มแพทย์ไร้พรมแดน หรือ Doctors Without Borders ที่คาดการณ์ว่าตัวเลขชาวโรฮิงญาที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกับพวกเขามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 6,700 คน โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะถูกยิง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นานาประเทศเรียกร้องให้เมียนมายุติความรุนแรง รัฐบาลและทหารเมียนมาปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับโรฮิงญา โดยรายงานของวอชิงตันโพสต์ระบุว่า รัฐบาลเมียนมายอมรับแต่เพียงว่า ในปีที่ผ่านมามีชาวโรฮิงญาจำนวน 400 คนเสียชีวิต และในจำนวนนี้ 376 คนเป็นผู้ก่อการร้าย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติประณามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับโรฮิงญาในเมียนมาคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นอกจากนี้เมื่อเดือน ธ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวสองคนของสำนักข่าวรอยเตอร์สถูกจับกุม และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา อัยการเมียนมาได้สั่งฟ้องพวกเขาโดยตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายความลับราชการหลังจากที่เข้าไปทำข่าวในหมู่บ้านอินดิน ทั้งนี้ตามกฎหมายหากพบว่ามีความผิดจริง นักข่าวทั้งสองคนอาจถูกลงโทษจำคุกถึง 14 ปี
แมทธิว สมิท แห่งกลุ่มฟอร์ติไฟไรทส์ตั้งข้อสังเกตว่า หลุมศพชาวโรฮิงญาที่ทหารเมียนมายอมรับว่ามีส่วนในการสังหารคนในหลุมนั้นเป็นแห่งเดียวกันกับที่นักข่าวทั้งสองคนพยายามเข้าไปทำข่าว
เขาให้ความเห็นว่า การจับกุมนักข่าวรอยเตอร์สน่าจะเป็นความพยายามที่จะสกัดไม่ให้มีการเข้าไปตรวจสอบพร้อมกับส่งสัญญาณถึงสื่อมวลชนไม่ให้แตะต้องในเรื่องนี้ด้วย
ส่วนบีบีซีรายงานว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลเมียนมาได้ยกเลิกหมายการเยือนเมียนมาของผู้รายงานพิเศษสหประชาชาติที่มีกำหนดการไปเก็บข้อมูลในเดือนม.ค.นี้โดยอ้างเหตุผลว่าตัวแทนของยูเอ็นไม่มีความเป็นกลาง
วอชิงตันโพสต์รายงานโดยอ้าง แมท เวลส์จากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลด้วยว่า จากข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศที่แอมเนสตี้ได้มานั้น แสดงให้เห็นว่ามีการเผาบ้านเรือนโรฮิงญาทั้งหมดในหมู่บ้านอินดินลงอย่างราบคาบ ในขณะที่บ้านเรือนของคนที่ไม่ใช่โรฮิงญากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งนี้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ระบุในแถลงการณ์เรียกร้องให้เมียนมาเปิดให้มีการสอบสวนอย่างอิสระจากบุคคลภายนอกโดยชี้ว่า การสังหารที่หมู่บ้านอินดินเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ของปัญหาที่ใหญ่กว่ามาก