ในบรรดาซีรีส์ที่มีให้ดูสารพัดทั้งแบบถูกลิขสิทธิ์และแบบที่ต้องใช้ความพยายามเสาะหา บางทีปริมาณของมันก็มากมายจนเราไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบเรื่องราวระทึกขวัญแบบทริลเลอร์ที่เน้นความตื่นเต้นชวนลุ้น เราก็ขอแนะนำซีรีส์ทริลเลอร์สามเรื่องจากสามสัญชาติที่มีความน่าสนใจแตกต่างกันไป นั่นคือ Dark, The Sinner และ La Mante
ความน่าสนใจของ Dark คือมันเป็นซีรีส์ภาษาเยอรมันเรื่องแรกที่เป็นโปรแกรม Netflix Original โดยเพิ่งออกอากาศไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซีซั่นแรกมีจำนวน 10 ตอน เล่าถึงเมืองสมมติชื่อวินเดนที่แทบทุกคนในเมืองรู้จักกัน หนังโฟกัสไปที่สามครอบครัวที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างซับซ้อน โดยจุดพลิกผันของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อมิคเคล ลูกชายของบ้านหนึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับขณะอยู่ในป่ากับเด็กคนอื่นๆ
ประโยคสำคัญที่ Dark ย้ำอยู่ตลอดคือ “คำถามไม่ใช่เรื่อง Where (ที่ไหน) ทว่าเป็น When (เมื่อไร)” การที่คนทั้งเมืองวินเดนช่วยตามหามิคเคลจึงเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อยู่ในมิติเวลาเดิมอีกต่อไป มิคเคลได้เดินทางข้ามเวลาไปยุคอื่นด้วยเหตุผลที่ซีรีส์ออกแบบไว้อย่างอลังการงานสร้าง โดยเมื่อดูซีรีส์ไปเราจะพบว่า Dark เล่าสลับไปมาระหว่างสามยุคด้วยกัน นั่นคือปี 1953, 1986 และ 2019
การยั่วล้อกับระบบเวลานี่เองที่เป็นจุดเด่นของ Dark การเชื่อมโยงอันแสนยุ่งเหยิงระหว่างยุคสมัยอาจทำให้ผู้ชมบางคนยอมแพ้ไปกลางเรื่อง อย่างตัวผู้เขียนเองก็ต้องเขียนไทม์ไลน์เทียบไปด้วยระหว่างดู แถมตัวละครก็มีราว 20 ตัว กว่าจะจำได้ว่าใครเป็นใครก็เหนื่อยแล้ว (มีเว็บไซต์หลายแห่งทำแผนผังแฟมิลีทรีเอาไว้ด้วย)
หนักที่สุดคือ Dark ตั้งคำถามน่าสงสัยไว้มหาศาล แต่กระทั่งดูจบซีซั่นไปแล้วเรากลับไม่ได้รับการคลี่คลายใดๆ เลย เหตุเพราะผู้สร้างเตรียมสร้างซีซั่นสองเรียบร้อย แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเราคงลืมเนื้อหาซีซั่นแรกไปแล้ว
อย่างไรก็ดี Dark ไม่ได้โดดเด่นแค่โครงสร้างการเล่าเรื่องที่หวือหวาเท่านั้น เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ความดำมืดก็ถูกเปิดเผยมากขึ้นทุกที ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสามครอบครัว และความเกี่ยวโยงของการข้ามเวลากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
สิ่งที่ดีที่สุดใน Dark คงเป็นการที่ตัวะครทุกตัวดูมีความดีและความชั่วปะปนกันอย่างแนบเนียน อาจเรียกได้ว่าพวกเขาเป็นตัวละครสีเทา แต่สีเทาบางครั้งก็เป็นสีน่ากลัวที่สุด เพราะยากจะบอกได้ว่ามีสัดส่วนของสีดำหรือสีขาวมากกว่ากัน
เปลี่ยนบรรยากาศมาที่ทริลเลอร์แบบอเมริกันกันบ้าง นั่นคือ The Sinner ซีรีส์ 8 ตอนที่ออกอากาศทางช่อง USA Network เมื่อปีที่แล้ว โดยซีรีส์เปิดเรื่องได้อย่างพิศวง เมื่อหญิงสาวนามคอร่าไปเที่ยวชายหาดกับสามีและลูกรัก ครอบครัวของเธอดูเหมือนจะปกติสุขดี แต่แล้วอยู่ๆ คอร่าก็เอามีดเข้าไปแทงชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างบ้าคลั่งจนอีกฝ่ายถึงแก่ความตาย โดยหลังจากนั้นคอร่าไม่สามารถให้เหตุผลกับตำรวจได้ว่าเธอทำแบบนั้นทำไม เพราะกระทั่งเธอเองก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ตัวละครที่สำคัญอีกตัวคือตำรวจชื่อแฮร์รี่ ในขณะที่ตำรวจคนอื่นๆ คนทั้งประเทศ หรือกระทั่งครอบครัวของคอร่าเองเชื่อว่าเธอคือฆาตกรเลือดเย็นหรือไม่ก็หญิงบ้าเสียสติ แฮร์รี่เป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อว่าเรื่องราวของคอร่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น จุดที่ทำให้ The Sinner น่าติดตามคือกระบวนการสืบสวนของแฮร์รี่ที่ต้องต่อสู้กับบรรดาตำรวจที่มองว่าเขาเพ้อเจ้อ ขณะเดียวกันซีรีส์ก็ค่อยๆ บอกเล่าอดีตที่ซ่อนไว้ของคอร่า อันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ทบทวีไม่สิ้นสุด
คนที่น่าชื่นชมคงหนีไม่พ้น เจสสิก้า บีล ที่รับบทคอร่า (เธอได้ชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงจากมินิซีรีส์) ที่ต้องแบกซีรีส์ไว้ทั้งเรื่อง แม้บีลอาจไม่ใช่โด่งดังระดับเบอร์ต้น แต่เธอทุ่มเทกับการแสดงเสมอ (หนึ่งในการแสดงอันน่าทึ่งของเธอคือหนังสยองขวัญเรื่อง The Tall Man (2012)) ถึงกระนั้นบทของบีลในเรื่องนี้ดูจะมีมิติน้อยไปหน่อย เช่นว่าตลอดซีซั่นเราเห็นเธอร้องไห้น่าสงสารไปราวสิบกว่ารอบ ส่วนตัวละครแฮร์รี่ (รับบทโดย บิล พูลแมน) ก็ออกจะดูเชยๆ เหมือนนักสืบซีรีส์ยุค 90 ที่ต้องเก๊กหน้าท่าทางตลอดเวลา
ด้วยความว่าชื่อ The Sinner ตัวซีรีส์ย่อมมีประเด็นทางศาสนาแทรกอยู่ ซึ่งสุดแท้แต่ผู้ชมแต่ละคนจะตีความ แต่อย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือประเด็นครอบครัวเคร่งศาสนาของคอร่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าภูมิหลังทางครอบครัวนี่เองที่นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมตอนต้นเรื่อง จนทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานะ ‘คนบาป’
ปิดท้ายด้วย La Mante ซีรีส์ 6 ตอนจากฝรั่งเศส (ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Mantis) ออกอากาศทางช่อง TF1 และ Netflix เรื่องราวว่าด้วยเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องในปารีสที่ตำรวจจับผู้ร้ายไม่ได้สักที ยิ่งว่าไปนั้นมันยังเป็นฆาตกรรมที่เลียนแบบ (Copycat) การฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องหญิงในตำนานฉายา ‘ตั๊กแตน’ จนในที่สุดตำรวจต้องขอความช่วยเหลือจากฌานน์หรือตั๊กแตนตัวจริงที่รับโทษอยู่ในเรือนจำ ซึ่งฌานน์ยอมร่วมมือด้วยเงื่อนไขว่าเธอจะทำงานกับตำรวจรายเดียวนั่นคือ เดเมียง-ลูกชายของเธอ
แม้ว่าจะเป็นซีรีส์ฆาตกรรม แต่เนื้อเรื่องของ La Mante ไม่ได้เน้นไปที่ความโหดร้ายอย่างฉากฆ่าพิสดารหรือภาพศพสยดสยอง แต่มันเน้นไปที่การจัดการปัญหาชีวิตของตัวละครมากกว่า เช่นว่าฌานน์จะสานความสัมพันธ์กับลูกชายอย่างไร ในเมื่อฝ่ายหลังได้ตัดเธอออกจากชีวิตไปแล้ว หรือทางฝั่งเดเมียงฝังใจกับการมีแม่เป็นฆาตกร จนทำให้เขาไม่กล้ามีลูกเพราะกลัวว่ามี ‘ดีเอ็นนักฆ่า’อยู่ในตัว ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า La Mante คือซีรีส์ว่าด้วยแม่-ลูก เพียงแต่แม่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ส่วนลูกชายเป็นตำรวจ
อย่างไรก็ตาม ซีรีส์ไม่ได้เน้นเรื่องดราม่าครอบครัวจนทิ้งการสืบคดี เพียงแต่การเฉลยว่าใครคือ ‘ตั๊กแตนรุ่นสอง (ก๊อปปี้)’ ออกจะไม่ค่อยน่าตื่นเต้นนัก ที่น่าสนใจกว่าคือ ‘ตั๊กแตนรุ่นออริจินอล’ หรือฌานน์ที่ตัวเรื่องแทบไม่อธิบายเลยว่าทำไมเธอถึงเป็นฆาตกร ผู้ชมจึงแทบไม่รู้สึกเอาใจช่วยตัวละครนี้ หรือกระทั่งตอนสุดท้ายที่ซีรีส์เฉลยเรื่องราวทั้งหมด มันก็ไม่ได้พูดถึงแรงจูงใจของฌานน์ในแบบที่ทำให้คนดูต้องสงสารหรือเห็นใจเธอ แต่มันเป็นการอธิบาย ‘เหตุผล’ และ ‘หลักการ’ ในการฆ่าของเธอเสียมากกว่า
หัวใจหลักของ La Mante ย่อมหนีไม่พ้น คาโรล บูเกต์ ผู้รับบทฌานน์ เธอคือดาวค้างฟ้าแห่งวงการหนังฝรั่งเศสที่เล่นหนังมาตั้งแต่ยุค 70 บูเกต์สามารถแสดงความเยือกเย็นออกมาได้อย่างน่าขนลุก แต่ฉากสุดท้ายของซีรีส์กลับเป็นฉากที่ซาบซึ้งจนไม่น่าเชื่อ โดยที่ไม่ต้องเร้าอารมณ์ฟูมฟายอะไรนัก ซึ่งนี่เองอาจเป็นเสน่ห์ของภาพยนตร์/ซีรีส์จากฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อเรื่องแนวคิดมนุษยนิยม แม้แต่กับตัวละครที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องก็ตาม
** Dark, The Sinner และ La Mante สามารถชมได้ทาง Netflix