ไม่พบผลการค้นหา
ทางการจีนสั่งยุบและยกเลิกโบสถ์คริสต์หลายแห่งทั่วประเทศ จับตาเครือข่ายเผยแพร่รูปภาพการเผาคัมภีร์ไบเบิล ภาพแบบฟอร์มที่ให้ประชาชนกรอกเพื่อประกาศไม่นับถือศาสนา สื่อระบุเป็นการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง รายงานชี้รุนแรงไม่ต่างไปจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรมสมัยเหมา

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานว่าในช่วงที่ผ่านมาทางการจีนได้ดำเนินการเข้มงวดกับกลุ่มความเชื่อทางศาสนาโดยเฉพาะศาสนาคริสต์

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ก.ย.ผ่านมา รอยเตอร์ระบุว่าทางการได้สั่งปิดโบสถ์ใหญ่ชื่อไซออนของนิกายโปรแตสแต้นท์ซึ่งถือว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง โดยเจ้าหน้าที่อ้างเหตุผลว่าเพราะไม่จดทะเบียนกับทางการ

ตามรายงานของรอยเตอร์ โบสถ์นี้ได้รับคำสั่งเมื่อเดือน เม.ย.ให้ติดตั้งกล้องวงจรปิด แต่โบสถ์ไม่ดำเนินการ ตั้งแต่นั้นก็พบกับแรงกดดันเรื่อยมาเรื่องจะถูกปิด และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางการจีนอ้างว่า การที่โบสถ์ไม่ขึ้นทะเบียนกับทางการเท่ากับทำผิดกฎหมายที่ห้ามการรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นได้สั่งปิดสถานที่ ยึดเอกสารต่างๆ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จีนยังไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในเรื่องนี้ 

นอกจากนี้ สื่อเช่นนิวสวีคอ้างข่าวของสำนักข่าวเอพีที่ได้ข้อมูลจากกลุ่มไชน่าเอด กลุ่มที่ติดตามความเคลื่อนไหวทางศาสนาในจีนซึ่งอ้างว่า จีนได้ปราบปรามกลุ่มความเชื่อทางศาสนาโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ ไม่เพียงโบสถ์ในปักกิ่งเท่านั้น แต่ได้มีการสั่งปิดโบสถ์อีกหลายแห่งในหลายเมือง ข่าวอ้างนักการศาสนาในเมืองนันยาง มณฑลเหอหนานที่บอกว่า โบสถ์ของเขาถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปเผาและทำลายสิ่งของและคัมภีร์เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนเมื่อปี 2509 - 2519 ที่ชาวคริสต์ในจีนถูกบังคับให้ประกาศเลิกนับถือศาสนาเช่นนี้


ข่าวกล่าวว่าบ็อบ ฟู ของกลุ่มไชน่าเอดได้เผยแพร่คลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่ามีการเผาทำลายคัมภีร์ไบเบิ้ล รวมทั้งมีภาพของแบบฟอร์มที่ให้ประชาชนกรอกข้อความแสดงตนว่าไม่ยอมรับนับถือศาสนาอีกต่อไป เขาบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนเมื่อปี 2509 - 2519 ที่ชาวคริสต์ในจีนถูกบังคับให้ประกาศเลิกนับถือศาสนาเช่นนี้ 

รายงานชี้ว่า ภายใต้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แม้ว่าจะเกิดปรากฎการณ์การฟื้นตัวของกลุ่มความเชื่อต่างๆ แต่การปราบปรามกลุ่มความเชื่อก็ถือว่าหนักที่สุดด้วยเช่นกัน นักวิชาการและนักสังเกตการณ์ต่างเห็นพ้องว่า ในช่วงนี้จีนปราบปรามชาวคริสต์หนักที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการบรรจุข้อความให้เสรีภาพทางความเชื่อไว้ในรัฐธรรมนูญของจีนในปี 2525 

รายงานกล่าวด้วยว่า ทางการจีนนั้นต้องการให้ผู้นับถือศาสนาทำพิธีทางศาสนาเฉพาะในสถานที่ที่จดทะเบียนกับทางการเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มีอาคารบ้านเรือนอีกเป็นจำนวนมากที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปทำประกอบศาสนกิจ ซึ่งสถานที่เหล่านี้จีนถือว่าเป็นสถานที่ทางศาสนาที่ผิดกฎหมาย 

วอชิงตันโพสต์รายงานว่า จีนมีผู้นับถือคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์จำนวน 38 ล้านคน และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจำนวนนี้จะขยายตัวขึ้นอีกมาก ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้าจีนจะมีประชากรนับถือโปรแตสแตนท์มากที่สุดในโลก

ส่วนการปราบปรามกลุ่มความเชื่อของจีนนั้น สื่อชี้ว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะกลุ่มชาวคริสต์และโปรแตสแตนท์เท่านั้น องค์กรสิทธิมนุษยชนคือฮิวแมนไรท์วอชได้ออกรายงานระบุว่าทางการจีนได้จับกุมมุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจี๋ยง มีคนเป็นจำนวนนับล้านที่ต้องเข้าค่ายปรับทัศนคติเพื่อให้ยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเป็นมาตรการที่ทำภายใต้ข้ออ้างการจัดการกับกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง คนเหล่านั้นถูกจับกุมคุมขังโดยไม่มีทนาย บ้างเป็นกลุ่มที่ติดต่อต่างประเทศ โดยที่จีนมีรายชื่อ 26 ประเทศที่ถือว่าอยู่ในข่ายล่อแหลม ซึ่งในจำนวนนี้จากการตรวจสอบของวอยซ์ออนไลน์พบว่ามีชื่อประเทศไทยติดอยู่ด้วย รวมทั้งยังมีกลุ่มที่ยืนยันในอัตลักษณ์และความเชื่อของตนรวมอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกจับเข้าค่าย


26countries.png
จีนมีรายชื่อ 26 ประเทศที่ถือว่าอยู่ในข่ายล่อแหลม ซึ่งในจำนวนนี้มีชื่อประเทศไทยติดอยู่ด้วย


หนังสือพิมพ์หลายฉบับชี้ว่า ภายใต้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เสรีภาพของกลุ่มความเชื่อต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด วอชิงตันโพสต์เรียกนายสีว่าเป็นผู้นำที่มีอำนาจมากที่สุดหลังยุคเหมา เจ๋อตง และผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า นายสีกำลังพยายามกำราบกลุ่มต่างๆที่อาจจะกลายเป็นแรงกดดันหรือเป็นคู่แข่งของเขาได้