นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงในบ้านช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่คนในครอบครัวต้องกักตัวอยู่บ้าน หรือทำงานที่บ้านน่าเป็นห่วง เพราะแทนที่บ้านจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย สำหรับผู้หญิงหลายคนอาจต้องเผชิญกับความรุนแรงในบ้าน โดยที่ไม่สามารถหนีออกจากบ้าน หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ได้
สสส. จึงร่วมกับแผนงานสุขภาวะผู้หญิง และเครือข่ายเมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง ต่อยอดแคมเปญ "เผือก" ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา (62) มีแคมเปญ "ปักหมุดจุดเผือก" มีประชาชน นิสิต นักศึกษาร่วมรายงานจุดเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการคุกคามทางเพศทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวม 611 จุด
ในสถานการณ์โควิด-19ได้ปล่อยแคมเปญล่าสุด "เผือก neighborhood หรือทีมเผือกชุมชน" ซึ่งจะเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังโลกเสมือนเพื่อติดตามถามไถ่เพื่อนๆ และคนรู้จักผ่านเครื่องมือดิจิทัล และสื่อสังคมออนไลน์ถึงสถานการณ์ความเป็นอยู่ และความปลอดภัยในชีวิตเพื่อมีส่วนในการลดโอกาสในการตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและการคุกคามทางเพศ
โดยมีเครื่องมือสำคัญ ได้แก่ how to วิธีการเผือกแบบโลกเสมือนของเพื่อนบ้านอย่างถูกวิธี และการบอกเล่าประสบการณ์เผือกเพื่อเป็นแรงบันดาลใจต่อการไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงและบุคคลในครอบครัว
ด้าน ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิง สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า ปัญหาที่ตามมาจากโควิด-19 นอกจากความกังวลเรื่องโรค ปัญหาปากท้องแล้ว ยังมีปัญหาความสัมพันธ์ในบ้านทั้งความเครียด ความไม่เข้าใจกันจนอาจนำไปสู่ความรุนแรงตามมาได้ แคมเปญเผือก neighborhood จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวกลาง ลดความรุนแรงในบ้านและหยุดยั้งความรุนแรงทางเพศผ่านการสังเกตและสอดส่องเพื่อน หรือคนที่รู้จักทั้งในชุมชน ละแวกบ้าน และเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเรามีทีมเผือก กว่า 800 คน ช่วยกันสังเกต สอดส่องความรุนแรงในที่สาธารณะ และเพิ่มพื้นที่การเผือกผ่านทางโซเชียลมีเดียของเพื่อนๆ หรือคนที่รู้จัก
4 วิธีเผือกที่ทำได้ง่ายๆ คือ 1. สังเกตสัญญาณของเพื่อนผ่านทางโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไอจี ว่ามีการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างหรือไม่ แนวโน้มไปในทิศทางไหน ความเครียด ความรุนแรง 2. โทรศัพท์ไปถามไถ่ เริ่มจากเรื่องทั่วๆ ไปก่อนแล้วค่อยเข้าประเด็นเผือกแบบเนียนๆ
3. รับฟัง เมื่ออีกฝ่ายไว้ใจที่จะเล่าให้ฟังแล้ว ยังไม่ต้องกังวลกับการช่วยแก้ปัญหา รับฟังไปก่อน และ 4. ตั้งคำถามชวนคิด ไม่ใช่การแนะนำ เพราะลึกๆ เขามีคำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ยังสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งการตั้งคำถามให้อีกฝ่ายคิด อาจทำให้เขามีคำตอบกับทางออกที่ชัดเจนขึ้น
สุดท้ายหากประเมินว่ามีความเสี่ยงหรือน่าเป็นห่วงอาจพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า ไม่โดดเดี่ยว มีอะไรติดต่อมาได้นะ เราพร้อมที่จะรับฟังนะ เป็นต้น
และสำหรับวิธีสื่อสารเพื่อลดปัญหาความสัมพันธ์ในบ้านช่วงโควิด-19 คือ 1.ตั้งใจ และใส่ใจฟังปัญหาของคนในบ้านให้มากขึ้น 2. หาพื้นที่ หรือมุมส่วนตัว ทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อทดแทนชีวิตปกติที่เสียไปในช่วงนี้ และ 3. หากคู่ไหน ครอบครัวไหน พอจะพูดคุยกันได้ ลองถามไถ่ความรู้สึกของกันและกัน เพื่อจะได้รับรู้ และเข้าใจกัน ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัว หรือคู่ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง