ไม่พบผลการค้นหา
เอ็มมา กอนซาเลซ นักเรียนผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงในโรงเรียนสหรัฐฯ และโด่งดังจากสุนทรพจน์กล่าวโจมตี ‘ทรัมป์’ ว่าหน้าไม่อาย ได้กลายเป็นผู้จุดกระแสคุมเข้มการค้าอาวุธปืนในสหรัฐฯ ด้านโฆษกทำเนียบขาวเผยทรัมป์สนับสนุนให้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว

เหตุระทึกขวัญกรณีชายหนุ่มชาวอเมริกันวัย 19 ปี ใช้อาวุธปืนกราดยิงผู้คนในโรงเรียนมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส ในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมอเมริกันอีกครั้ง เนื่องจากเป็นความสูญเสียที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี มียอดผู้เสียชีวิต 17 ราย ในจำนวนนั้นมีนักเรียนถึง 14 ราย 

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาไม่ได้มีแต่บรรยากาศเศร้าโศกและการไว้อาลัยแด่ผู้สูญเสีย แต่ยังมีน้ำเสียงแห่งความโกรธเกรี้ยวของผู้คนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายการครอบครองอาวุธปืน ทั้งในที่ชุมนุมหรือบนโลกออนไลน์ โดยหนึ่งเสียงที่เปล่งออกมาได้อย่างทรงพลังจนได้รับการกล่าวขานไปทั่วโลก คือเสียงของ "เอ็มมา กอนซาเลซ" 

เด็กสาววัย 18 ปี เด่นชัดด้วยทรงผมสกินเฮด เอ็มมาขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีท่ามกลางสายตาของผู้คนหลายร้อย ใบหน้าของเธอดูมุ่งมั่นแต่ในบางช่วงก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ 

เอ็มมาเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ที่โรงเรียนแห่งนั้น ขณะเกิดเหตุเธออยู่ในหอประชุมโดยวินาทีแรกเธอเข้าใจว่าเหตุการณ์โกลาหลข้างนอกคือการซ้อมรับมือเหตุฉุกเฉินของโรงเรียน จนกระทั่งมีคนตะโกนบอกให้เธอและเพื่อนๆ หลบหนี สามวันหลังเกิดเหตุ เธอขึ้นเวทีพูดปลุกใจคนอเมริกันให้ลุกขึ้นสู้ 

“คนเหล่านี้ควรจะโศกเศร้าอยู่ที่บ้าน แต่พวกเรากลับมายืนอยู่ด้วยกันที่นี่ในวันนี้ เพราะถ้าสิ่งที่รัฐบาลและประธานาธิบดีของเราทำได้คือการส่งความระลึกถึงและบทสวด มันก็ถึงเวลาแล้วที่เหยื่อจะกลายเป็นผู้เปลี่ยนกฎหมายอาวุธปืนเอง” เอ็มมากล่าวขณะเข้าร่วมชุมนุมเรียกร้องให้มีการคุมเข้มการค้าปืน ใกล้เมืองพาร์คเลน รัฐฟลอริดา 

กฎหมายค้าปืน ‘หละหลวม’

ที่ผ่านมากฎหมายครอบครองอาวุธปืนสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ามีความหละหลวม โดยเฉพาะขั้นตอนการตรวจสอบปูมหลังของผู้ซื้อ โดยผู้ต้องหากราดยิงที่ฟลอริดาล่าสุดคือนายนิโคลัส ครูซ ซึ่งเป็นอดีตนักเรียนในโรงเรียนดังกล่าว สามารถซื้อปืนไรเฟิลแบบกึ่งอัตโนมัติอย่างถูกกฎหมาย แม้ว่าเขาจะมีประวัติไม่ดีและเคยมีคนแจ้งเตือนพฤติกรรมอันเป็นอันตรายของเขากับ FBI แล้วก็ตาม

เอ็มมาใช้สุนทรพจน์ความยาวกว่า 10 นาที โจมตีนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ถึงแนวคิดสนับสนุนกฎหมายการครอบครองปืน โดยเธอกล่าวพาดพิงข้อความในทวิตเตอร์ของนายทรัมป์ ที่ระบุว่าต้นเหตุของการฆ่าสังหารหมู่ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอาการผิดปกติทางจิตของนายครูซ ซึ่งเคยมีประวัติการทำร้ายตัวเองและขู่ว่าจะซื้อปืนเพื่อก่อเหตุดังกล่าว 

“มันไม่ใช่แค่เรื่องอาการทางจิต เขาคงจะไม่ทำร้ายนักเรียนได้มากมายเท่านี้ด้วยมีดเล่มเดียว”เอ็มมาตอบโต้นายทรัมป์บนเวทีด้วยเสียงแข็ง
“มันไม่ใช่แค่เรื่องอาการทางจิต เขาคงจะไม่ทำร้ายนักเรียนได้มากมายเท่านี้ด้วยมีดเล่มเดียว”เอ็มมาตอบโต้นายทรัมป์บนเวทีด้วยเสียงแข็ง


สำหรับเอ็มมาแล้ว ถ้านายทรัมป์จะมาหาเธอและบอกกับเธอต่อหน้าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายและไม่ควรที่จะเกิดขึ้น แต่ยังคงยืนกรานว่าไม่มีสิ่งใดจะแก้ปัญหานี้ได้ เธอก็จะถามเขากลับไปว่า “คุณได้รับเงินจากสมาคมปืนยาวไรเฟิลแห่งชาติเท่าไหร่?” 

มีรายงานว่านายทรัมป์ได้รับเงินสนับสนุนจากสมาคมปืนยาวไรเฟิลแห่งชาติหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่เขาลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีเมื่อปี 2559 โดยองค์กรนี้นับว่ามีอิทธิพลทางการเมืองอเมริกันอย่างมากเนื่องจากเป็นสปอนเซอร์สำคัญของนักการเมืองทั้ง 2 พรรค แต่ก็เป็นผู้สนับสนุนหลักในเรื่องการค้าเสรีปืนและต่อต้านการคุมเข้มซื้อขายปืน

ในช่วงที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของสุนทรพจน์ เอ็มมาได้กล่าวประณามนายทรัมป์และนักการเมืองที่รับเงินสนับสนุนสมาคมปืนยาวไรเฟิลแห่งชาติ ว่า “หน้าไม่อาย” ซึ่งทำให้ได้รับเสียงเชียร์จากผู้ชุมนุมที่ร่วมใจตะโกนว่าคำว่า “หน้าไม่อาย” ติดต่อกันหลายครั้ง จนคำดังกล่าวได้กลายเป็นพาดหัวข่าวในสื่อทั่วโลกในเวลาต่อมา

หรือทรัมป์เริ่มเปลี่ยนใจ?

สุนทรพจน์อันทรงพลังทำให้เอ็มมาเป็นที่ชื่นชอบของอเมริกันชนและคนต่างประเทศ โดยคลิปที่ได้รับการเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าว CNN มีผู้ชมแล้วกว่า 20 ล้านครั้ง นอกจากนี้เอ็มมายังได้ออกรายการโทรทัศน์ชื่อดัง พร้อมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคน 

นักเรียนผู้รอดชีวิต รวมถึงจากนักเรียนจากโรงเรียนอื่นในฟลอริดา ออกมาแสดงความเห็นทางโซเชียลมีเดียเรียกร้องให้ สว.ในรัฐฟลอริดาแก้กฎหมายอาวุธปืน บางคนทำป้ายซึ่งเขียนว่า “พอกันที” และ “ถึงเวลาแล้ว” ซึ่งการต่อสู้ของเยาวชนอันมีพื้นฐานจากความเจ็บปวด ได้จุดประกายให้สังคมหันมาพูดถึงการแก้กฎหมายครอบครองปืนอย่างจริงจัง

และก็เริ่มจะมีเห็นความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายจากทำเนียบขาวแบบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนในรัฐบาลทรัมป์เช่นกัน โดยวานนี้ (20 ก.พ.) หลังจากที่นายทรัมป์ไม่เคยเห็นชอบกับการแก้ไขกฎหมายครอบครองอาวุธปืน โฆษกทำเนียบเปิดเผยว่านายทรัมป์เห็นด้วยกับข้อเสนอและให้การสนับสนุนให้มีกระบวนการสืบประวัติผู้ซื้อปืนที่เข้มข้นขึ้น โดยเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลแห่งชาติว่าด้วยคดีความต่างๆ ด้วย

ถึงแม้ว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะยังไม่ได้แตะไปถึงประเด็นที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือข้อบัญญัติที่ระบุให้เสรีภาพในการครอบครองปืนได้รับการคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ส่ิงที่เกิดขึ้นก็แสดงถึงความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว ซึ่งแตกต่างกับเหตุกราดยิงครั้งก่อนๆในสหรัฐฯ ที่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น

แน่นอนว่า โฉมหน้าของการต่อสู้ในครั้งนี้คงจะหนีไม่พ้นภาพเด็กนักเรียนอเมริกันที่ออกมาเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญ ดังเช่นความเห็นของคอลัมนิสต์ชื่อดังประจำหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ ที่เขียนเอาไว้ว่า “หลังเกิดเหตุที่ฟลอริดา ฉันรู้สึกสิ้นหวัง แล้วฉันก็ได้พบกับเอ็มมา กอนซาเลซ”