ไม่พบผลการค้นหา
จำนวนช้างในเมียนมากำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วและเสี่ยงต่อจำนวนในการขยายพันธุ์ เนื่องจากความต้องการหนังสัตว์ในตลาดค้าสัตว์ป่าเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดจีนที่มีการเปิดขายกันอย่างแพร่หลาย

รายงานของกลุ่มอนุรักษ์ครอบครัวช้างของอังกฤษระบุว่า จำนวนช้างในป่าของเมียนมากำลังลดลงอย่างรวดเร็วในแต่ละปี เนื่องจากการขยายตัวของตลาดการค้าสัตว์ป่า โดยตลาดที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันอยู่ในประเทศจีน

ปัจจุบันอวัยวะของช้างที่เป็นที่ต้องการของตลาดไม่ได้มีแต่ 'งา' เท่านั้น อวัยวะส่วนอื่น เช่น หนังช้างและไขมันของช้างก็กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเช่นกัน ส่งผลให้มีการล่าช้างเยอะขึ้นโดยไม่จำกัดเพศและช่วงอายุของช้าง

กลุ่มอนุรักษ์ครอบครัวช้างยังระบุอีกว่า 4 ปีที่ผ่ามาตลาดค้าช้างเอเชียกำลังขยายตัวโดยเฉพาะในส่วนการค้าหนังช้าง และในเอเชียมีการโฆษณาและซื้อขายผลิตภัณฑ์จากหนังช้างกันผ่านทางออนไลน์อย่างเปิดเผยจากบริษัทยาของจีน

ในตลาดจีนหนังช้างถูกนำเอาไปบดและทำเป็นยาบำรุงทางเดินอาหาร นำไปผสมกับไขมันของช้าง เพื่อทำเป็นครีมเพื่อรักษาผิวหนังที่ติดเชื้อหรือนำไปทำร้อยเป็นลูกปัด เครื่องประดับ


000_KE15E.jpg

หนังช้างที่รอการแปรรูป

ในรายงานของกลุ่มยังระบุว่า เส้นทางการค้าช้างนั้นเริ่มจากในเมียนมา ก่อนจะส่งผิวหนังที่ลอกแล้วไปในลาวเพื่อแปรรูปให้เป็นผงก่อนจะลักลอบนำเข้าประเทศจีนต่อไป จากรายงานของกองทุนโลกเพื่อธรรมชาติรายงานว่า ขบวนการล่าหนังช้างเหล่านี้อาจจะมีในไทย อินเดีย ลาว กัมพูชาและมาเลเซียอีกด้วย

สำหรับราคาหนังช้างในตลาดออนไลน์นั้นจะตกอยู่ที่ 190 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณเกือบ 6,000 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ที่หนังช้างบดผลจะมีราคาประมาณ 425 ดอลลาร์ หรือประมาณ 13,000 บาทต่อกิโลกรัม และถ้ามีการเจาะจงถึงขนาดและคุณภาพของหนังนั้นจะสามารถเพิ่มมูลค่าของหนังได้ถึง 30,000 ดอลลาร์ 

ปีที่ผ่านมาทางการเมียนมาพบกับซากช้างอย่างน้อย 59 ซาก ขณะที่จำนวนประชากรช้างในป่าของเมียนมาร์เหลืออยู่ประมาณ 2,000 เชือก จาก 10,000 เชือกในช่วงทศวรรษ 1940 ทั้งนี้ยังมีการประเมินว่าทั่วเอเชียมีช้างป่าเหลืออยู่เพียง 30,000 -50,000 เชือกเท่านั้น

"ประชากรช้างเอเชียกำลังอยู่ในสภาวะที่อันตราย การค้าสัตว์ป่าที่ไม่จำกัดเพศและอายุของสัตว์ อาจทำให้เสี่ยงตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายและทำให้สัตว์มีการขยายพันธุ์ที่ช้าลง" เบลินนา สจ๊วต-ค็อก หัวหน้ากลุ่มอนุรักษ์ครอบครัวช้างกล่าว

ที่มา NikkeiAsiaReview / Straitstimes