ลูลาซึ่งตอนนี้กลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดี ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนชาวบราซิลที่ 50.9% จากผู้มาออกเสียงใช้สิทธิ คะแนนดังกล่าวทำให้ลูลาเฉือนชนะโบลโซนารู ซึ่งฐานเสียงฝ่ายขวาเชื่อว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันจะคว้าชัยชนะในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี การชนะเลือกตั้งของลูลาอาจจะยังไม่สามารถลดความขัดแย้งทางการเมืองของบราซิลลงได้
การกลับมาในครั้งใหญ่นี้ของลูลา เกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีฝ่ายซ้ายผู้นี้ ไม่สามารถลงรับเลือกตั้งเมื่อปี 2561 ได้ เนื่องจากลูลาถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ และถูกประกาศแบนในการลงรับเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยศาลตัดสินว่าลูลามีความผิดในการรับสินบนจากบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งในบราซิล เพื่อแลกกับสัญญากับบริษัทน้ำมันของรัฐอย่างเปโตรบราส ในขณะที่บราซิลเริ่มหันขวาและลงคะแนนเสียงเลือกโบโซนารูขึ้นมาเป็นผู้นำของตน
ลูลาถูกขังอยู่ในเรือนจำเป็นเวลากว่า 580 วัน ก่อนที่คำพิพากษาของศาลจะถูกเพิกถอน ทำให้ลูลาสามารถกลับไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองได้อีกครั้ง “พวกเขาพยายามจะฝังผมทั้งเป็น และผมก็อยู่ที่นี่แล้ว” ลูลากล่าวสุนทรพจน์หลังจากการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีบราซิลแล้วเสร็จ โดยลูลาในวัย 77 ปี เป็นอดีตประธานาธิบดีบราซิลฝ่ายซ้ายระหว่างปี 2546 ถึง 2553 เขายังเคยทำงานเป็นแรงงานโรงงานเหล็กมาก่อนอีกด้วย
ผลสำรวจความเห็นในตอนแรกระบุว่าลูลาจะเอาชนะการเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ดี จากผลในครั้งแรกนั้น กระแสของลูลากลับเดินเป็นเส้นตรงมากกว่าที่การคาดการณ์ว่าความนิยมของเขาจะพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ชาวบราซิลจำนวนมากเริ่มตั้งข้อสงสัยกับความแม่นยำของผลสำรวจ ท่ามกลางความกังวลจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลว่า โบลโซานารูอาจชนะเลือกตั้งอีกสมัย
ผู้สนับสนุนโบลโซานารูกำลังไม่พอใจต่อผลการเลือกตั้ง หลังจากทราบว่าลูลาคว้าชัยชนะในครั้งนี้ไปได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมกันกับการด่าลูลาว่าเป็น “โจร” อีกทั้งการกล่าวหาว่า การเพิกถอนคำพิพากษาเดิมของลูลา ไม่ได้เท่ากับว่าอดีตประธานาธิบดีฝ่ายซ้ายผู้นี้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่การพ้นโทษของลูลาเกิดขึ้นจากขั้นตอนทางกระบวนการยุติธรรมที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ถึงแม้ว่าโบลโซานารูจะแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่สมาชิกรัฐสภาฐานเสียงของโบลโซานารูสามาถคว้าเสียงข้างมากในรัฐสภาบราซิลไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ขั้นตอนการเสนอกฎหมายของลูลาประสบกับอุปสรรคจากสมาชิกรัฐสภาฝ่ายขวา อย่างไรก็ดี ลูลาที่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 สมัย ตั้งแต่ ม.ค. 2546 ถึง ธ.ค. 2553 ยังคงมีความคุ้นเคยกับการผสานพันธมิตรทางการเมืองอยู่
เจอรัลโด อัลค์มิน อดีตคู่แข่งท้าชิงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของลูลาในครั้งก่อน ได้รับเลือกจากลูลาให้เป็นรองประธานาธิบดีบราซิลคนใหม่ กลยุทธ์ในการผสานพันธมิตรเพื่อสร้าง “ความสามัคคี” ของลูลาในลักษณะดังกล่าว ช่วยดึงคะแนนเสียงของผู้ที่ไม่มั่นใจว่าจะเดินเข้าคูหาไปกาบัตรเพื่อเลือกพรรคแรงงานของลูลาหรือไม่ได้อย่างดี
ในการกล่าวสุนทรพจน์หลังได้รับชัยชนะของเขา ลูลาใช้น้ำเสียงที่ดูมีความประนีประนอม โดยลูลากล่าวว่าเขาจะเป็นผู้นำของชาวบราซิลทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้ที่โหวตให้เขาเท่านั้น “ประเทศนี้ต้องการสันติภาพและความสามัคคี ประชาชนไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไป” ลูลากล่าว
โบลโซนารูยังคงไม่ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ่ในครั้งนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ โบลโซนารูซึ่งมีอุดมการณ์ขวาจัด ออกมากล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน ถึงความน่าเชื่อถือของระบบการลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ของบราซิล ท่าทีดังกล่าวของโบลโซนารูส่งผลให้เกิดความกังวลว่า ประธานาธิบดีฝ่ายขวาผู้นี้จะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง หากผลการลงคะแนนเสียงออกมาขัดแย้งกับชัยชนะของตน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันก่อนการเลือกตั้งรอบที่ 2 โบลโซนารูกล่าวว่า “มันไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย ใครมีคะแนนเสียงมากกว่าก็ชนะไป นั่นคือความหมายของประชาธิปไตย”
ในวันเลือกตั้ง รถเมล์ที่บรรทุกผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนถูกตำรวจสั่งหยุดจอด โดยลูลากล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้ประชาชนเดินทางไปลงคะแนนเสียง ทั้งนี้ อเล็กซานเดร เดอ มอราเอส หัวหน้าศาลเลือกตั้ง สั่งให้ตำรวจทางหลวงนำสิ่งกีดขวางบนถนนและช่องการตรวจออกทั้งหมด เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความตึงเครียดในบราซิลขึ้นอย่างมาก
ยังคงมีการจับตาว่าเมื่อไหร่โบลโซนารูจะออกมากล่าวยอมรับความพ่านแพ่หลังลูลาคว้าชัยชนะไป การเลือกตั้งไม่ได้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในบราซิลเท่านั้น เพราะโลกทั้งใบต่างจับจ้องมาที่บราซิลในห้วงเวลานี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่กังวลว่า หากประธานาธิบดีฝ่ายขวาจัดคนปัจจุบันชนะการเลือกตั้ง ในเวลาอีก 4 ปีของรัฐบาลโบลโซนาโร รัฐบาลจะเดินหน้าไปสู่การตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนครั้งใหญ่อีกครั้ง
ลูลากล่าวย้ำถึงนโยบายของเขาหลังคว้าชัยชนะว่า ตนจะ “เปิดรับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อปกป้องแอมะซอน” พร้อมระบุอีกว่า “วันนี้เราบอกโลกว่าบราซิลกลับมาแล้ว มันใหญ่เกินไปกว่าที่จะถูกอัปเปหิออกจากบทบาทที่น่าเศร้าของผู้ถูกตัดขาดจากทั่วโลก” ลูลายังมอบคำมั่นสัญญาที่จะจัดการกับความหิวโหย ซึ่งกำลังมีเพิ่มขึ้นในบราซิลและส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่า 33 ล้านคน
ปัจจัยหลักที่นำมาซึ่งความนิยมของลูลา เกิดขึ้นในช่วง 2 วาระแรกของเขาในการเป็นประธานาธิบดีบราซิล จากการช่วยชาวบราซิลหลายล้านคนให้พ้นจากความยากจน แต่ในเศรษฐกิจหลังเกิดโรคระบาดโควิด-19 การหาเงินเพื่อสร้างความสำเร็จในบราซิลยังคงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านโยบายของลูลาเองถูกขัดขวางโดยรัฐสภาที่เป็นศัตรูจากฝ่ายขวาพันธมิตรของโบลโซนารู
ที่มา: