ไม่พบผลการค้นหา
ชายวัย 72 ปี เบื่อกับความไม่ยุติธรรมในไทย หวังติดปีกบินไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขและตายที่ San Diego แคลิฟอร์เนีย

ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาวที่อยากย้ายประเทศ คนวัยชราอย่าง ‘อมร สงวนรัตนชต’ ก็อยากไปเหมือนกัน

ชายวัย 72 ปี อาศัยอยู่ที่ จ.ราชบุรี ผ่านประสบการณ์มากมายในชีวิตทั้งสุข เศร้าและน่าผิดหวัง ซึ่งอย่างหลังนั้นรวมถึง ‘กระบวนการยุติธรรม’ ในไทย ที่เขาบอกว่าเป็นเหตุผลที่ไม่อยากอยู่ต่ออีกแล้วในประเทศนี้  

“พอกันที” น้ำเสียงเข้มๆ ของอมรในบ่ายวันหนึ่งที่อากาศร้อนชื้นน่าอึดอัดเหมือนกับความรู้สึกที่เขามีต่อบ้านเกิด


เมืองไทยเฮง-ซวย

เวลา 15.00 น. วันที่ 5 พ.ค. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.จังหวัดพะเยา พรรคพลังประชารัฐและ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่ต้องพ้นสมาชิกภาพ ส.ส. และความเป็นรัฐมนตรี แม้จะเคยถูกจำคุกในคดียาเสพติดในประเทศออสเตรเลีย แต่นั่นไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย

สิ้นเสียงคำวินิจฉัย อมรส่ายหัว....

“ผมได้ยินแบบนั้น ผมบอกโอ้ไม่ไหวแล้ว โจ่งแจ้งขนาดนี้มันไม่ไหว มันไม่ไหวจริงๆ ปกติผมไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของใครอยู่แล้ว แต่นี่มันเรื่องส่วนรวม” เขาถอนหายใจ บอกว่าภายใต้โครงสร้างและผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีทางพลิกฟื้นและทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม การตัดสินใจไปยังต่างประเทศเติมเต็มช่วงเวลาบั้นปลายของชีวิตที่งดงามกว่านั่งฝันหวานในไทย 

“ถ้าผมอยู่ได้อีก 2-3 ปี อยู่ในสภาพแบบนี้ ดูแล้วมันริบหรี่ไม่เห็นแสงสว่างเลย แล้วผมจะรอเหรอ ชีวิตเป็นของผม” 

ธรรมนัส

อดีตนักค้าวัสดุก่อสร้างใช้คำว่า “เฮงซวย” เมื่อพูดถึงประเทศไทยในสายตาของตัวเอง 

เขาขยายความว่า ‘เฮง’ แปลว่า โชคดี และ ‘ซวย’ แปลว่า โชคร้าย เมื่อนำมารวมกันจึงหมายความว่า “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สลับกันไป” ไทยยังยึดติดกับระบบความคิดในกรอบ ซึ่งนำไปสู่การออกแบบกฎหมาย การสั่งสอนซึ่งไม่นำไปสู่การพัฒนา 

“เสี้ยมสอนกันให้อยู่แต่ในกรอบ คิดนอกกรอบไม่ได้เลย” อมรบ่นอุบถึงสิ่งที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กกระทั่งวัยชรา 


รัฐประหารปี 49 ทำธุรกิจล้มพับ 

อมรซึ่งเป็นลูกชาวจีน เล่าว่า เมื่อปี 2548 เขาและภรรยาตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของภรรยา หวังสร้างตัวจากธุรกิจค้าขายวัสดุก่อสร้างที่เขาถนัดและสัมผัสมาทั้งชีวิต

“ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี นายกฯ ทักษิณ จะเข้าสมัยที่ 2 สมัยแรกผ่านมา 4 ปี ทุกอย่างมันกระเตื้องขึ้น เราวัดจากอุณหภูมิง่ายๆ คือเราประกาศขายบ้านมาตั้งกี่ปีไม่มีใครซื้อ แต่พอทักษิณขึ้นมาคนมีกำลังซื้ออะ ทำให้ผมได้ขายบ้านตอนนั้น”

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเมืองทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก อมรไม่ได้ลงมือทำตามความตั้งใจ เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองฯ (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ประกาศยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ชินวิตร

“ผมสั่งเครื่องจากทางโรงกลึงใช้เวลาหลายเดือน กำลังทดลองเครื่องอยู่ ยังไม่ได้ทำขายเลย ปรากฏว่า 19 ก.ย. 49 รัฐประหารปุ๊บโอ้โห ชะงักเลย ใจก็หยุด ผมเป็นคนไม่ชอบทำอะไรที่มันเสี่ยงสูงทางด้านธุรกิจ พอได้กลิ่นไม่ดี ผมเลยคิดว่าไปต่อไม่ได้หรอก ยังไม่ทันแจ้งเกิดเลย ทำไปมีแต่ใส่เงินไปเรื่อยๆ” 

AFP-รัฐประหาร 19 กันยายน 2549-ทหาร-ปืน-รถถัง

การตัดสินใจปิดสวิตซ์เดินหน้า เขาอธิบายว่า “เป็นการชะลอความไม่มีจะกิน” ได้กว่า 10 ปี ทยอยขายทรัพย์สินเลี้ยงชีพ โดยไม่มีอาชีพหลัก “หลังจากปฏิวัติปี 49 ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย เป็นเรื่องเป็นราวนะ อาจจะช่วยเขานิดหน่อย” เขาเล่า 

ทุกวันนี้อมรเลี้ยงชีพด้วยการเป็นที่ปรึกษาและช่วยเหลือลูกชายทำกิจการค้าขายรถซูเปอร์คาร์ ผ่านแฟนเพจ Mind Zupercar


ยกย่องคนรุ่นใหม่ แนะผู้ใหญ่เปิดกว้าง-มีเหตุผล

กระแสเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ดังกระหึ่มสังคมในช่วงเวลาที่ผ่านมา ท้าทายวิธีคิดและทัศนคติของรัฐชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน 

“ผมดีใจนะ” อมรยิ้มจริงใจบอกความรู้สึกถึงคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงข้อมูลและรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้เร็วกว่าคนในอดีตมาก “สมัยผมกว่าจะรู้อะไรได้เคลียร์ มันยากกว่านี้เยอะ”

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวในปี พ.ศ. 2565 ตามการคาดการณ์จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยมีประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวนมากกว่า 12 ล้านคน หรือราว 18-20 % ของจำนวนประชากรทั้งหมด

เจ้าของแววตาดุดันมุ่งมั่นแนะนำว่า สังคมที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่มากประสบการณ์ต้องเป็นสังคมที่เปิดกว้าง อย่าอีโก้สูง อย่ายึดติดและรีบปฏิเสธสิ่งที่คนรุ่นตัวเองไม่เคยพบเจอ เลิกใช้ชุดอุดมคติเดิม ที่สำคัญต้องอยู่กับข้อเท็จจริง  

“ถ้าคุณยอมรับความจริง อยู่กับความจริงได้ คุณจะแก้ปัญหาได้ ถ้าคุณปิดตามืดบอดทั้งหมด ไม่ยอมรับรู้อะไรเลย ทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้ว อะไรมาก็ไม่รับ ฉันรู้มาแค่นี้พอแล้ว มันก็มีแต่เหือดแห้งไปเรื่อยๆ ประเทศนี้ก็เป็นแบบนั้นอะ”

ประชาชนปลดแอก อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

“ผมให้กำลังใจ(คนรุ่นใหม่)เต็มที่เต็มร้อยเลย สิ่งที่เรารับรู้มามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราไม่ต้องกลัวอะไร เพราะเราอยู่กับความจริง มนุษย์ทุกคนที่จะผ่านพ้นอุปสรรคขว้างหนามไปได้ ต้องเอาความจริงก่อน เมื่อเรารู้ความจริง อยู่กับความจริงได้ มันไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลงเราได้ 

“สิ่งที่ลูกๆ หลานๆ ทำ ผมเฝ้าดูอยู่ เขามาถูกทาง เราไปว่าเขาไม่ได้ ผู้ใหญ่ต้องใจกว้าง รับฟังเขาบ้าง อย่ามัวทำตัวเป็นน้ำเต็มเเก้ว”

การกล้าคิด กล้าทำ อย่ากลัวที่จะผิดพลาด เป็นสิ่งที่จะขับเคลื่อนไปสู่โอกาสและประสบการณ์ใหม่ๆ 

“ถ้าในสังคมเราไม่มีคนที่คิดนอกกรอบบ้าง นวัตกรรมใหม่ๆ ไม่เกิดหรอก มนุษยชาติจะไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย” อมรย้ำพวกผู้ใหญ่ต้องยอมที่จะแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์ที่แตกต่าง ไม่ใช่เอาแต่ขัดขวางลูกๆ หลานๆ 

ลุงอมร "เบื่อเมืองไทย ขอไปเมืองนอก"

ทุกคนเป็นพลเมืองโลก - ฝันไปตายที่แคลิฟอร์เนีย 

เมื่อราวอายุ 15 ปี ด้วยความเกเร มีเรื่องมีราวเป็นประจำ อมรถูกพ่อแม่ส่งไปเรียนยังต่างแดนที่ Lynwood high school, University of Compton รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่นั่นเต็มไปด้วยความทรงจำอันน่าประทับใจและไม่แปลกที่ในวันนี้เขาจะอยากกลับไปตื่นเต้นอีกครั้ง

อมรหาข้อมูลรายละเอียดต่างๆ และวางแผนไปอาศัยอยู่ที่เมือง San Diego ทางใต้ของแคลิฟอร์เนีย ติดกับประเทศเม็กซิโก

“อากาศก็ดี เรตการลงทุนต่ำมากกว่าขึ้นเหนือมาแถวแอลเอ แอลเอนี่จะเเพง แสนเหรียญอาจจะไม่พอ ผมก็ต้องออกไปนอกๆ หน่อยหนึ่ง คิดว่าแสนเหรียญผมเริ่มต้นได้”

“เราพลเมืองของโลกอะ เวิลด์ซิตี้เซนส์ เเต่เขาไม่เข้าใจ ผู้บริหารไม่เข้าใจ เขาคิดว่ามีแต่กะลานี้เท่านั้นเอง ไม่ขึ้นกับใครอะ มันไม่ใช่หรอก ทุกคนมีสิทธิเลือกชีวิตของตัวเอง พร้อมเมื่อไหร่ก็ติดปีกบินเลย” เขาบอกทิ้งท้าย

**************

ติดตามบทสัมภาษณ์ในรูปแบบคลิปวิดีโอได้ในวันที่ 20 พ.ค. นี้ ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ VoiceTv

ลุงอมร "เบื่อเมืองไทย ขอไปเมืองนอก"ลุงอมร "เบื่อเมืองไทย ขอไปเมืองนอก"

เรื่อง : วรรณโชค ไชยสะอาด

ภาพ : วิทวัส มณีจักร


วรรณโชค ไชยสะอาด
ผู้สื่อข่าวสังคม Voice Online
118Article
0Video
0Blog