ไม่พบผลการค้นหา
หลังประกาศจะย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาร์กาตา เกาะชวา ไปยังเกาะบอร์เนียว ล่าสุด อินโดนีเซีย ได้ตีกรอบแล้วว่าเมืองหลวงใหม่ซึ่งยังไม่มีชื่อนี้ จะตั้งอยู่ระหว่างเขตเปอนาจัมปาเซร์เหนือกับเขตกูไตการ์ตาเนอการา ในจังหวัดกาลีมันตันตะวันออก ของเกาะบอร์เนียว

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม โจโก วิโดโด หรือรู้จักกันในนามโจโกวี ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซียจะตั้งอยู่ในจังหวัดกาลีมันตันตะวันออก (East Kalimantan) บนเกาะบอร์เนียว (Borneo) โดยจะอยู่ระหว่างเขตเปอนาจัมปาเซร์เหนือ (North Penajam Paser) กับเขตกูไตการ์ตาเนอการา (Kutai Kartanegara)

"กาลีมันตันตะวันออกมีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติต่ำ ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าหรือแผ่นดินไหว อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางประเทศอินโดนีเซีย และอยู่ใกล้กับเขตเมืองที่พัฒนาแล้ว" โจโกวี กล่าว

ที่ตั้งเมืองหลวงใหม่นี้ จะอยู่ห่างจากจาการ์ตาที่เป็นเมืองหลวงเดิมถึง 1,400 กิโลเมตร โดยโจโกวีชี้ว่า การย้ายเมืองหลวงในครั้งนี้ จะช่วยกระจายกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกไปนอกเกาะชวา ที่ตั้งของเมืองจาร์กาตา ทั้งนี้เกาะชวาเป็นเกาะที่มีประชากรมากที่สุดถึงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในอินโดนีเซีย ขณะที่เกาะบอร์เนียวมีประชากร 5.8 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียระบุว่า กล่าวว่าการว่าการย้ายเมืองหลวงในครั้งนี้จะใช้งบประมาณ 466 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 1 ล้านล้านบาท) โดยเงินในส่วนนี้จะมาจากรัฐบาล 19 เปอร์เซ็นต์ และที่เหลือมาจากการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน และการลงทุนของภาคเอกชน

เมื่อเดือนเมษายน กระทรวงการวางแผนพัฒนาแห่งชาติ อินโดนีเซีย ประมาณการว่า 466 ล้านล้านรูเปียห์นี้ รวมค่าใช้จ่ายในส่วนของการพัฒนาพื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตร ให้รองรับผู้อาสัย 1.5 ล้านคนด้วย หากย้ายเฉพาะส่วนบริหารราชการ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่เพียง 323 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 7 แสนล้านบาท)

บัมบัง บรอดโจเนโกโร รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนพัฒนา ระบุว่าตามแผนของรัฐบาลจะเริ่มก่อสร้างเมืองใหม่ซึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่อนี้ในช่วงปลายปี 2020 และเริ่มย้ายหน่วยงานต่างๆ ในปี 2024

สาเหตุหลักของการย้ายเมืองหลวงในครั้งนี้ คือ ความแออัดเนื่องจากการกระจุกตัวของความเจริญ และความกังวลว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะจมลงสู่มหาสมุทร

จาการ์ตาและพื้นที่โดยรอบนั้น มีผู้อยู่อาศัยราว 30 ล้านคน โดยมีประชากรหนาแน่นประมาณ 15,000 คนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร แออัดเกือบสองเท่าของประเทศสิงคโปร์ และมีปัญหาด้านมลพิษทางอากาศ นอกจากนี้ พื้นที่สองในห้าส่วนของเมืองอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และบางส่วนยังทรุดตัวลงเฉลี่ยปีละ 20 เซนติเมตร


ไม่ใช่แค่จาการ์ตาที่กำลังจะจมน้ำ

งานวิจัยซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ ชี้ว่าโลกร้อนกำลังทำให้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเร็วกว่าที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุดหากภายในปี 2100 อุณหภูมิสูงขึ้น 5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้นกว่า 2 เมตร

ไม่ใช่เฉพาะจาร์กาตาเท่านั้นที่เสี่ยงจะจมน้ำ แต่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการสูบน้ำบาดาลมาใช้ในปริมาณ ก็ส่งผลให้เมืองชายฝั่งและเมืองที่มีพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลทั่วโลกก็เป็นที่น่ากังวลเช่นกัน โดยเมืองใหญ่หลายเมืองที่เสี่ยงต่อการจมลงสู่ทะเล เช่น

ฮิวสตัน (Houston) รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ทรุดตัวลงเนื่องจากการสูบน้ำบาดาลในปริมาณมากเช่นเดียวกับกรุงจาการ์ตา โดยทรุดตัวลง 10 ถึง 12 ฟุต ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 และบางส่วนทรุดเพิ่มอีกปีละ 2 นิ้ว

ธากา (Dhaka) เมืองหลวงของบังกลาเทศ แม้ทรุดตัวลงเพียงปีละครึ่งนิ้ว แต่ระดับน้ำทะเลในอ่าวเบงกอลเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 10 เท่าก็ทำให้ธากาเสี่ยงต่อการจมน้ำเช่นกัน

ลากอส (Lagos) ประเทศไนจีเรีย เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปแอฟริกา โดยเสี่ยงต่อน้ำท่วมเป็นทุนเดิม และชายฝั่งกำลังถูกกัดเซาะเนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเพราะโลกร้อน

นิวออร์ลีนส์ (New Orleans) รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ในรายงานปี 2016 ขององค์กรนาซ่า คาดว่านิวร์ออลีนส์จะต้องเผชิญกับระดับน้ำที่สูงขึ้นถึง 14.5 นิ้วภายในปี 2040 โดยเมืองกำลังจมลง 2 นิ้วต่อปี

สำหรับกรุงเทพฯ นั้น ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 0.5-2 เมตร และกำลังจมลงปีละ 1-2 เซนติเมตร ขณะที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 4 มิลลิเมตรต่อปี โดยในปี 2015 (พ.ศ. 2558) สภาปฏิรูปแห่งชาติ ชี้ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด กรุงเทพฯ เสี่ยงที่จะเริ่มอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลภายใน 15 ปี

ในกลุ่มประเทศอาเซียนเองก็ไม่ได้มีแต่อินโดนีเซียเท่านั้นที่พยายามหาทางรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม ประเทศสิงคโปร์ก็ได้ทุ่มงบ 410 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 9,300 ล้านบาท) เพื่อยกเครื่องทางระบายน้ำและศึกษาการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล ลดความเสี่ยงจากการที่ประเทสจะจมอยู่ใต้น้ำ

ที่มา: Japan Times / SCMP / Asia News / Business Insider

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: